บทความ:

พอถึงวันขี้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันออกพรรษาของทุกปีจะมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศโดยเฉพาะชาวพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ได้เดินทางมาที่จังหวัดหนองคายเป็นจำนวนมาก เพื่อจะมาดูลูกไฟประหลาด ซึ่งชาวบ้านเรียกว่าบั้งไฟพญานาค ลักษณะเป็นลูกไฟเท่าไข่ไก่หรือเล็กกว่า พุ่งขึ้นมาจากใต้แม่น้ำโขงแล้วหายไปในบรรยากาศเหนือลำน้ำโขง เหตุการณ์ดังกล่าวได้แบ่งคนออกเป็น ๓ กลุ่ม กลุ่มแรกเชื่อว่า เป็นผลงานของเหล่าพญานาคที่อาศัยอยู่ใต้แม่น้ำโขง จุดลูกไฟเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เสด็จจากเทวโลกลงมามนุสสาโลก หลังจากที่จำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึง เพื่อเทศนาโปรดพุทธมารดาเป็นเวลา ๓ เดือน พระองค์เสด็จกลับลงมาทางบันไดสวรรค์ ที่ประตูเมืองสังกัสสนคร อันตั้งอยู่เหนือกรุงสาวัตถี ด้วยพุทธานุภาพบันดาลในการเสด็จคราวนั้นทำให้มนุษย์และเทวดาบรรดาสัตว์ที่อยู่ต่างภพทั้งหลาย ต่างก็มองเห็นกายของกันและกันปรากฏชัด เมื่อตกมาถึงกาลสมัยปัจจุบันแม้นไม่เห็นกายพญานาค แต่ก็เห็นการแสดงออกในความจงรักภักดี ดังนั้นเราจึงมองเห็นบั้งไฟพญานาคที่ได้แสดงสัญลักษณ์เป็นลูกไฟดังกล่าว กลุ่มที่สองไม่เชื่อว่าเป็นบั้งไฟพญานาค มันเป็นเพียงกฎของธรรมชาติที่เป็นวัฏฏจักรหมุนเวียนตลอดไป ซึ่งจะต้องใช้แนวทางของวิทยาศาสตร์พิสูจน์เท่านั้น กลุ่มที่สาม เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
บั้งไฟพญานาคคืออะไร เกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคเท่าที่ปรากฏมีอยู่ ๔ ทฤษฎี ที่สื่อต่าง ๆ กล่าวอ้างอิงเกี่ยวกับเรื่องนี้
๑.ทฤษฎีมนัส
ของนายแพทย์มนัส กนกศิลป์ เชื่อว่า บั้งไฟพญานาคเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีของก๊าซมีเทนระเบิด จากหลุมอินทรีย์วัตถุขนาดเล็ก ทับถมกันอยู่ในแอ่งแม่น้ำโขง เสนอภาพการทดลอง ณ ริมฝั่งแม่น้ำโขง จากการตรวจสอบพบว่าเป็นก๊าซมีเทนติดไฟได้
๒.ทฤษฎีมนตรี
ของอาจารย์มนตรี บุญเสนอ นำเสนอข้อมูลทางธรณีวิทยา ศึกษาสภาพดินใต้แม่น้ำโขงสายหลักพบว่า เป็นหินดินดานหรือหินโคลน โอกาสที่จะเกิดก๊าซมีเทนจึงเป็นไปได้น้อยมาก
๓.ทฤษฎี ปืนส่องแสง ณ บ้านโดน
ของสถานีโทรทัศน์ ไอทีวี นำเสนอภาพของทหารลาวบ้านโดนที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงฝั่งลาว ยิงปืนพลุส่องแสงขึ้นบนท้องฟ้า ในขณะที่มีเสียงโห่ร้องตอบรับขึ้นมาจากนักท่องเที่ยว ที่เฝ้าดูจากฝั่งไทย เมื่อทุกคนได้ดูการนำเสนอภาพจากสถานีในครั้งนั้น ๖๐ เปอร์เซ็นเชื่อว่า บั้งไฟพญานาคเกิดจากน้ำมือมนุษย์ทำขึ้นภาพที่เห็นคือการสัมภาษณ์ทหารลาวที่อ้างว่ายิงปืนอาก้าขึ้นท้องฟ้าในบริเวณแม่น้ำโขง แล้วมีเสียงโห่ร้องของคนไทยที่รอชมบั้งไฟพญานาคอยู่ฝั่งประเทศไทย พร้อมกับมีภาพไปนำเอาปืนกระบอกดังกล่าวที่บ้านพักออกมาโชว์ หลังจากนั้นอีก หนึ่งปี ทหารคนนั้นถูกทางการลาวจำคุก 12 ปี ("ไม่ทราบสาเหตุ) ไอทีวี โดนประชาชนทางจังหวัดหนองคายไม่ให้เข้าพื้นที่ เป็นข่าวดังในสมัยนั้น
๔.ทฤษฎีกระทรวงวิทย์
ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่โดยมี ทีมเก็บข้อมูลประมาณ ๒๐ คน ในจุดที่สำคัญ ๙ จุด
๑.บ้านน้ำเป อำเภอรัตวาปี
๒.ปากห้วยหลวง อำเภอโพนพิสัย
๓.หนองสรวงอำเภอโพนพิสัย
๔.ปากห้วยงึมน้อย อำเภอโพนพิสัย
๕.ปากน้ำปากคาด อำเภอปากคาด
๖.ปากห้วยวัดอาฮง อำเภอบึงกาฬ
๗.ปากห้วยวังฮู อำเภอเมืองหนองคาย
๘.ห้วยเปลวเงือก อำเภอโพนพิสัย
๙.จุดอ้างอิงเหนือบ้านท่าม่วง อำเภอรัตนวาปี
สรุปว่า ได้พบก๊าซมีเทนที่มีน้ำหนักเบา ติดไฟได้ง่ายเมื่อทำปฏิกิริยากับก๊าซออกซิเจน แต่ไม่สามารถติดไฟได้เองต้องมีพลังอื่นมาช่วย และยังไม่สามารถ อธิบายของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้เกิดบั้งไฟพญานาคได้ และไม่สามารถบอกได้ว่าทำไมบั้งไฟพญานาคถึงเกิดขึ้นมากในวันออกพรรษา
ลักษณะการขึ้นของบั้งไฟพญานาค
๑.เป็นลูกไฟสีแดงอมชมพูมีขนาดเท่าไข่ไก่หรือเล็กกว่าพุ่งขึ้นมาจากใต้แม่น้ำโขง แล้วหายเข้าไปในบรรยากาศเหนือลำน้ำโขง โดยไม่โค้งกลับลงมาเหมือนกับหายเข้าไปอีกโลกหนึ่ง
๒.ความเร็วต้นจะไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า จะเห็นชัดเจนเมื่อลูกไฟพุ่งขึ้นมาเหนือระดับน้ำโขงประมาณ ๒๐-๓๐ เมตร
๓.ลูกไฟจะไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีสะก็ดย้อยตาม ลูกไฟขนาดเท่าเดิมในช่วงขณะที่อยู่ในอากาศแล้วหายวับไปเฉย ๆ
๔.การไต่ระดับความสูงจะใช้เวลาประมาณ ๕-๓๐ วินาทีต่อ ๕๐-๑๕๐ เมตร
ทำไมบั้งไฟพญานาคเกิดเฉพาะที่หนองคาย
ในแนววิทยาศาสตร์มีคำตอบว่า แม่น้ำโขงมีต้นกำเนิดอยู่ในเขตที่ราบสูงธิเบต ไหลผ่านประเทศจีน พม่า ลาว ไทย กัมพูชา เวียดนาม มีความยาวถึง ๔,๘๙๐ กิโลเมตร เป็นไปได้ที่จะพัดเอามวลสารต่างๆ ติดมาด้วย เช่น หิน ดิน แร่ธาตุ และในช่วงที่แม่น้ำโขงไหลผ่านพรมแดนไทย-ลาว ในส่วนของจังหวัดหนองคาย ตั้งแต่อำเภอสังคม ถึงอำเภอบึงกาฬ มีความยาวประมาณ ๒๒๐ กิโลเมตร น่าจะเกิดสิ่งเหล่านี้
๑.ด้วยแม่น้ำโขงไหลมาเป็นระยะยาวไกล พอมาถึงช่วงโค้งจังหวัดหนองคาย เกิดการทับถมตะกอนแร่ธาตุต่าง ๆ พอหมักได้ที่ก็เกิดเป็นก๊าซดันพุ่ง ออกไปติดไฟในอากาศเหนือผิวแม่น้ำโขง
๒.เกิดปฏิกิริยาสัมพันธ์ระหว่างดวงจันทร์กับโลก โดยอ้างความจริง จากการเกิดน้ำขึ้นน้ำลงบนโลก อิทธิพลของดวงจันทร์ ต่อปรากฏการณ์บนโลก อย่างบั้งไฟพญานาค ก็น่าจะมีส่วนเป็นไปได้ เพราะวันออกพรรษาเป็นวันเพ็ญดวงจันทร์เต็มดวง
ในแนวศาสนาพุทธมีคำตอบว่า ประเทศไทยและประเทศลาว ส่วนใหญ่ นับถือศาสนาพุทธ โดยเฉพาะประเทศลาวเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นจึงมีพุทธโบราณสถานและพุทธโบราณวัตถุตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงทั้งทางประเทศฝั่งไทยและฝั่งประเทศลาว เช่น พระพุทธรูป พระธาตุ รอยพระพุทธบาท ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทยและชาวลาวได้กราบไหว้บูชา เพราะเชื่อว่าพุทธสถานโบราณเหล่านี้ มีพญานาคปกป้องคุ้มครองอยู่ โดยเฉพาะนครเวียงจันทน์ซึ่งมีตำนานเล่าสืบทอดกันมาว่า เป็นเมืองพญานาคเป็นผู้สร้างหรือเนรมิตขึ้นมา ให้เจ้านครเวียงจันทน์ขึ้นครองและไม่มีใครมารุกรานได้ เพราะมีพญานาคช่วยปกป้องคุ้มครองดังเช่นเหตุการณ์ที่ข้าศึกยกทัพมาล้อมนครเวียงจันทน์ด้วยกำลังทหารอย่างมากมาย เหลือที่ทหารเวียงจันทน์จะรบสู้ได้ พญานาคที่ อาศัยอยู่ใต้ฐานพระธาตุหลวง ก็จะแปลงกายเป็นชายชาติทหารกรูกันออกมาช่วยทหารเวียงจันทน์รบกับข้าศึกอย่างห้าวหาญ ทำให้ข้าศึกเสียกำลังพลไปอย่างมากมายจนแตกพ่ายไปในที่สุด ต่อมาเจ้านครเวียงจันทน์ถูกล่อลวงจากศัตรู ให้ปิดรูพญานาคที่อยู่ใต้องค์พระธาตุหลวงนั้นเสีย ส่งผลให้พญานาคขึ้นมาช่วยเหลือไม่ได้เมื่อมีศัตรูมารุกราน จึงทำให้นครเวียงจันทน์ต้องผจญกับศึกสงครามและภัยพิบัติตลอดมา ดั่งเช่นสงครามไทยกับลาว ในการปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ ในรัชกาล ที่ ๓ การสงครามครั้งนั้นนอกจากปรากบฏเจ้าอนุวงศ์แล้ว เหมือนกับสงครามแย่งพระพุทธรูปกันด้วย เมื่อไทยรบชนะลาวก็เที่ยวค้นหาพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ มารวมไว้ที่เจดีย์ปราบเวียงจันทน์ที่ค่ายพันพร้าว แต่พอทัพลาวบุกยึดคืนได้ก็รื้อเจดีย์เอารพระพุทธรูปเหล่านั้นคืนสู่นครเวียงจันทน์ พญานาคมีความจงรักภักดีและศรัทธาต่อพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก จึงได้มารวมตัวกันที่แม่น้ำโขงเพราะแม่น้ำโขงและนครเวียงจันทน์ หรือเมืองศรีสัตตนาคนหุต ซึงเป็นสถานที่บรรพบุรุษได้สร้างขึ้นมาและนอกจากนั้นแม่น้ำโขงยังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทั้งสองฝั่งไทย-ลาว ที่นับถือพุทธศาสนา โดยมีพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์คือ พระสุกได้ประดิษฐานอยู่ใต้แม่น้ำโขงบริเวณเวินพระสุก(เหนือบ้านน้ำเป) ซึ่งเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งที่เหล่าพญานาค จะต้องมาปกปักรักษาและบูชาพระพุทธรูปองค์นี้ โดยยึดเอาเป็นองค์ประธาน ในการบำเพ็ญตบะในช่วงเข้าพรรษาตลอดเวลา ๓ เดือน โดยงดเว้นการเบียดเบียน ชีวิตสัตว์อื่นมุ่งบำเพ็ญสมาธิภาวนา เมื่อเข้าถึงฌานก็ได้ตบะอำนาจนำมาแสดงเป็นบั้งไฟพุ่งทะยานออกมาจากใต้แม่น้ำโขง เพื่อเป็นพุทธบูชา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากเทวโลก
คำปรารภเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาค
เป็นข้อสงสัยที่เกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคที่ตั้งคำถามอยู่ภายในใจของนักท่องเที่ยว อยากให้ผู้รู้มาตอบชี้แจงแถลงไขให้หายข้องใจ
๑.การเกิดบั้งไฟพญานาค เป็นปรากฏการที่เที่ยงตรงแน่นอนทุกปี ในวันออกพรรษาของประเทศไทยและประเทศลาว ดุจว่าธรรมชาตินั้น มีการนัดวันเอาไว้
๒.ทฤษฎีการเกิดก๊าซ ที่ว่าเกิดจากซากพืชซากสัตว์ที่ตายทับถมอยู่ในแอ่งแม่น้ำโขงจนเกิดเป็นก๊าซจริง แต่คุณสมบัติทางกายภาพของก๊าซทั่วไปที่เราเห็น เช่นก๊าซหุงต้มมันจะกระจายไปทั่วไม่เกาะกันเป็นก้อนกลม แล้วลอยขึ้นบนอากาศ เหมือนบั้งไฟพญานาค
๓.แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกรากในเทศกาลออกพรรษากระแสน้ำจะเย็นและไหลแรงมาก ไม่ใช่น้ำอยู่นิ่ง ๆ ที่จะเกิดก๊าซขึ้นมาติดไฟได้ง่าย ๆ
๔.การจุดติดไฟจากใต้แม่น้ำโขง อาจมีผู้สามารถประดิษฐ์คิดค้นทำได้ แต่การทำเช่นนั้นทำเพื่ออะไร เมื่อกระบวนการจุดไฟให้ลุกขึ้นจากใต้น้ำ จนกระทั่งสามารถพุ่งออกมาเป็นรูปร่างกลมๆ แบบบั้งไฟพญานคต้องใช้ความร้อนอย่างมหาศาลถึงขนาด ๑,๐๐๐ องศาเซลเซียส จึงจะสามารถลุกเป็นลูกไฟ พุ่งขึ้นเหนือแม่น้ำโขงเฉกเช่นบั้งไฟพญานาคได้
๕.จากทฤษฎีของไอทีวี ว่าทหารลาวเอาอาก้าไปยิง ถ้าหากมีมนุษย์ถือปืนอาก้า ดำน้ำลงไปถึงก้นพื้นดินใต้แม่น้ำโขงแล้วยิงขึ้นมา ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะก็ต้องใช้คนเป็นจำนวนมากและใช้ลูกปืนหลายร้อยลูก ปืนหลายร้อยกระบอก ต้องกระจัดกระจายกันมุดน้ำลงไปยิงในแม่น้ำโขง ตั้งแต่อำเภอสังคมถึงอำเภอบึงกาฬระยะความยาวถึง ๒๒๐ กิโลเมตร
โบราณสถานโบราณวัตถุสองฝั่งโขง
ดินแดนสองฝั่งแม่น้ำโขงและที่ราบลุ่มตามลำน้ำสายต่างๆ ที่ไหลลงสู่ แม่น้ำโขง ต่างมีร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองในอดีตเห็นได้จาก ซากปรักหักพัง ของโบราณสถานและโบราณวัตถุ ที่ทับถมกันอยู่มากมาย เหมือนหนึ่งกำลังรอการปฏิสังขรณ์จากพุทธศาสนิกชน ชาวพุทธในแถบนี้นิยมปฏิสังขรณ์ก่อนอื่นใดคือ พระพุทธรูป และโบสถ์ โดยเชื่อว่าศาสนโบราณสถานเหล่านี้มีพญานาคเป็นผู้ปกปักรักษาอยู่ ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาบูรณะและกราบไหว้ จะได้รับอิทธิฤทธิ์วิธีจากพญานาค ให้รอดพ้น จากภัยพิบัติต่าง ๆ เช่น มาเข้าฝันบอกเหตุการณ์ที่จะเกิดล่วงหน้า หรือนำโชคลาภมาให้
สองฝั่งแม่น้ำโขงมีศาสนโบราณ ที่ศักดิ์สิทธิ์มากมาย เช่น พระพุทธรูป เจดีย์ รอยพระบาท หลายองค์แต่จะขอยกมาเพียงบางส่วน ที่ผู้เขียนได้เห็นผู้คนไปสักการบูชามิได้ขาด
๑.หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
๒.หลวงพ่อองค์ตื้อ วัดศรีชมพู องค์ตื้อ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย
๓.หลวงพ่อพระเสี่ยง วัดมณีโคตร อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย
๔.หลวงพ่อพระใหญ่วัดโพธาราม อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย
๕.พระธาตุหลวง กำแพงนครเวียงจันทน์ ประเทศลาว
๖.พระบาทโพนฉัน แขวงบริคำไช ประเทศลาว

นาค หรือ พญานาค เป็นความเชื่อในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเรียกชื่อต่าง ๆ กัน แต่มีลักษณะร่วมกัน คือ เป็นงูขนาดใหญ่มีหงอน เป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสู่จักรวาลอีกด้วย
ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะมาจากอินเดีย ด้วยมีปกรณัมหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ นาคถือเป็นปรปักษ์ของครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้ายรอยของงูขนาดใหญ่
ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี 7 สี เหมือนสีของรุ้ง และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช (อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศีรษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในนำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม

ตระกูลของนาคนาคเป็นเจ้าแห่งงู
แต่ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ เพราะกายเป็นทิพย์ และก็จัดอยู่ฝ่ายสุคติภูมิ อยู่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา นาคแบ่ง ออกเป็น 4 ตระกูลใหญ่ คือ
ตระกูลวิรูปักษ์ พญานาคตระกูลสีทอง
ตระกูลเอราปถ พญานาคตระกูลสีเขียว
ตระกูลฉัพพยาปุตตะ พญานาคตระกูลสีรุ้ง
ตระกูลกัณหาโคตมะ พญานาคตระกูลสีดำ
พญานาคเกิดได้ทั้ง 4 แบบ คือ
1.แบบโอปปาติกะ เกิดแล้วโตทันที
2.แบบสังเสทชะ เกิดจากเหงื่อไคล สิ่งหมักหมม
3.แบบชลาพุชะ เกิดจากครรภ์
4.แบบอัณฑชะ เกิดจากฟองไข่
พญานาคชั้นสูงเกิดแบบโอปปาติกะ เป็นชนชั้นปกครอง ที่อยู่ของพญานาคมีตั้งแต่ในแม่น้ำ หนอง คลอง บึงต่างๆ ในอากาศ จนไปถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา พวกพญานาคอยู่ในการปกครองของท้าววิรูปักษ์ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก เหตุที่มาเกิดเป็นพญานาคเพราะทำบุญเจือด้วยราคะ
ความเชื่อเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณสมบัติชาวฮินดูถือว่า นาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ 1 ตัว แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้
นาคมีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ มีอิทธิฤทธิ์และมีชีวิตใกล้กับคน สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น
นาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 จะต้องปรากฏรูปลักษณ์เป็นนาคเช่นเดิม คือ ขณะเกิด, ขณะลอกคราบ, ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับโดยไม่มีสติ และตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม
นาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง, ตะขาบ, คางคก, มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน
นาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อนๆ กัน ชั้นสูงๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์
นาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วสมสู่กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร
สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลกจนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขึ้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้น ๆ[1]
ความเชื่อเกี่ยวพันกับชีวิต น้ำและธรรมชาตินาคเป็นสัญลักษณ์ของน้ำ จึงปรากฏความเชื่อเรื่องนาคที่เกี่ยวกับน้ำไว้ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
ในตำนานสิงหนวัติ กล่าวว่า เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมือง 4 ด้าน เป็น เมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมาเมื่อยกทัพปราบเมืองอื่นได้ และรวมดินแดนเข้าด้วยกัน จึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนาคราช[[ไฟล์:
ที่ปราสาทพนมรุ้ง คูเมืองที่เป็นสระน้ำ 4 ด้าน รอบปราสาทและมี พญานาค อยู่ด้วย ตามความเชื่อของคนสมัยโบราณ ดังนั้น นาคจะมีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากน้ำ เช่น การสร้างศาสนสถานไม่ว่าจะเป็นอุโบสถ นาคที่ราวบันได จึงมี พญานาค ซึ่งตามความเป็นจริง (ความเชื่อ) การสร้างต้องสร้างกลางน้ำ เพื่อให้ดูเหมือนว่าศาสนสถานนั้นลอยอยู่เหนือน้ำ แต่ก็ไม่ต้องสร้างจริงๆ เพียงแต่มีสัญลักษณ์ พญานาค ไว้ เช่น ที่ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น
แม้เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ก็จะมีอยู่ในราศีเกิด เช่นของคนนักษัตรปีมะโรง ที่มีความหมายถึง ความยิ่งใหญ่และพลังอำนาจ ที่มี พญานาค เป็นสัญลักษณ์
นาคให้น้ำ
โขนเรือ (หัวเรือ) อเนกชาติภุชงค์ ซึ่งทำเป็นรูปหัวพญานาคด้วยความที่นาคเป็นสัญลักษณ์แห่งน้ำ ดังนั้น คำเสี่ยงทายในแต่ละปีที่จะทำนายถึงปริมาณของน้ำและฝนที่จะตกในแต่ละปีเพื่อใช้ในการเกษตร จึงเรียกว่า "นาคให้น้ำ" จำนวนนาคให้น้ำมีไม่เกิน 7 ตัว ถ้าปีไหนอุดมสมบูรณ์มีน้ำมากเรียกว่า "นาคให้น้ำ 1 ตัว" แต่หากปีไหนแห้งแล้งเรียกว่าปีนั้น "มีนาคให้น้ำ 7 ตัว" จะวัดกลับกันกับจำนวนนาค ก็คือที่น้ำหายไป เกิดความแห้งแล้งนั้นก็เพราะ พญานาคเกี่ยงกันให้น้ำ แต่ละตัวจึงกลืนน้ำไว้ในท้องไม่ยอมพ่นน้ำลงมา ซึ่งคำทำนายเรื่องนาคให้น้ำนี้ จะปรากฏเห็นได้ชัดที่สุด คือ ในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ในวันพืชมงคลของแต่ละปี
ในประติมากรรมไทยในประติมากรรมไทย มักจะเห็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับนาคได้เสมอ ในงาน จิตรกรรม ประติมากรรม และหัตถกรรม นาคเป็นส่วนประกอบที่สำคัญทางสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะตามอาคารวัดต่างๆ หลังคาอาคารที่สร้างขึ้นสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ และสถานบันศาสนสถาน ตามคตินิยมที่ว่า นาคยิ่งใหญ่คู่ควรกับสถาบันอันสูงส่ง เช่น นาคสะดุ้ง ที่ทอดลำตัวยาวตามบันได นาคลำยอง ซึ่งเป็นป้านลมหลังคาโบสถ์ ที่ต่อเชื่อมกับนาคสะดุ้ง นาคเบือน นาคจำลอง และนาคทันต์ คันทวยรูปพญานาค
อีกทั้งยังเป็นโขนเรือ (หัวเรือ) ในขบวนเรือกระบวนพยุหยาตราชลมารค ในพระราชพิธีอีกด้วย อันได้แก่ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช และเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์
พระพุทธรูปปางนาคปรก พญานาคกับตำนานในพระพุทธศาสนาเมื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ธรรมพิเศษแล้ว ได้เสด็จไปตามเมืองต่างๆ เพื่อแสดงธรรมเทศนา มีครั้งหนึ่งได้เสด็จออกจากร่มไม้อธุปปาลนิโครธ ไปยังร่มไม้จิกชื่อ "มุจลินท์" ทรงนั่งเสวยวิมุตติสุข อยู่ 7 วัน คราวเดียวกันนั้นมีฝนตกพรำๆ ประกอบไปด้วยลมหนาวตลอด 7 วัน ได้มีพญานาคชื่อมุจลินทร์ เข้ามาวงด้วยขด 7 รอบพร้อมกับแผ่พังพานปกพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะป้องกันฝนตกและลมมิให้ถูกพระวรกาย หลังจากฝนหายแล้ว คลายขนดออก แปลงเพศเป็นชายหนุ่มยืนเฝ้าที่เบื้องพระพักตร์ ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า
ความเชื่อดังกล่าวทำให้เป็นที่มาของการสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรก แต่มักจะสร้างแบบพระนั่งบนตัวพญานาค ซึ่งดูเหมือนว่าเอาพญานาคเป็นบัลลังก์ เพื่อให้เกิดความสง่างาม และทำให้คิดว่า พญานาค คือผู้คุ้มครองพระศาสดา
พญานาค เป็นสะพาน (สายรุ้ง) ที่เชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ โลกศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อที่ว่า พญานาค กับ รุ้ง เป็นอันเดียวกัน ก็คือสะพานเชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์นั่นเอง
นาคสะดุ้ง ซึ่งเป็นประติมากรรมที่ราวบันไดโบสถ์นั้นได้สร้างขึ้นตามความเชื่อถือ "บันไดนาค" ก็ด้วยความเชื่อดังกล่าว แม้ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ก็โดยบันไดแก้วมณีสีรุ้ง ที่เทวดาเนรมิตขึ้นและมีพญานาคจำนวน 2 ตน เอาหลังหนุนบันไดไว้
ตุง ในวัฒนธรรมของล้านนาและพม่า ก็เชื่อกันว่าคลี่คลายมาจากพญานาค และหมายถึงบันไดสู่สวรรค์
ความเชื่อของชาวฮินดู ก็ถือว่า นาคเป็นสะพานเชื่อมภาวะปกติ กับที่สถิตของเทพ ทางเดินสู่วิษณุโลก เช่น ปราสาทนครวัด จึงทำเป็น พญานาคราช ที่ทอดยาวรับมนุษย์ตัวเล็ก ๆ สู่โลกแห่งความศักดิ์สิทธิ์ หรือบั้งไฟของชาวอีสานที่ทำกันในงานประเพณีเดือนหก ก็ยังทำเป็นลวดลาย และเป็นรูปพญานาค พญานาคนั้นจะถูกส่งไปบอกแถนบนฟ้าให้ปล่อยฝนลงมา
ในสมัยพระพุทธเจ้า มีพญานาคตนหนึ่งนั่งฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วได้เกิดศรัทธา จึงได้แปลงกายเป็นมนุษย์ขอบวชเป็นพระภิกษุ แต่อยู่มาวันหนึ่งเข้านอนในตอนกลางวัน หลังจากหลับแล้วมนต์ได้เสื่อมกลายเป็นงูใหญ่ จนพระภิกษุรูปอื่นไปเห็นเข้า ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงให้พระภิกษุนาคนั้นสึกออกไป เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน นาคตนนั้นผิดหวังมาก จึงขอถวายคำว่า นาค ไว้ใช้เรียกผู้ที่เข้ามาขอบวชในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความศรัทธาของตน
ต่อจากนั้นมาพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติไม่ให้สัตว์เดรัจฉาน ไม่ว่าจะเป็นนาค ครุฑ หรือสัตว์อื่นๆ บวชอีกเป็นอันขาด และก่อนที่อุปัชฌาย์จะอุปสมบทให้แก่ผู้ขอบวชจะต้องถาม อันตรายิกธรรม หรือข้อขัดข้องที่จะทำให้ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุไม่ได้ รวม 8 ข้อเสียก่อน ในจำนวน 8 ข้อนั้น มีข้อหนึ่งถามว่า "ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า" และจึงเรียกการบวชนี้ว่า "บวชนาค"
ความเชื่อในดินแดนต่าง ๆ ของไทยในประเทศไทย ดินแดนที่มีความเชื่อเรื่องของนาคมักจะเป็นภาคที่ติดกับแม่น้ำโขง คือ ภาคเหนือ และ ภาคอีสาน หรือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ประติมากรรมเศียรพญานาคพ่นน้ำที่ริมทะเลสาบสงขลา จังหวัดสงขลา ภาคเหนือมีตำนานเกี่ยวกับพญานาคอยู่เช่นกัน ดังในตำนานสิงหนวัติซึ่งเป็นตำนานเก่าแก่ของทางภาคเหนือเอง “เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมืองเป็นเมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมายกทัพปราบเมืองอื่นได้และรวมดินแดนเข้าด้วยกันจึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนคร ต้นวงศ์ของพญามังรายผู้ก่อกำเนิดอาณาจักรล้านนานั่นเอง”
พระยานาค อารักขาพระธาตุพนม

เรื่อง "พญานาคราชเข้าประทับทรงนี้เกิดขึ้นในยุคที่พระเดชพระคุณท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร (แก้ว กนฺโตภาโส ปธ. ๖ , น.ธ.เอก ) เป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร (พ.ศ.๒๔๘๐-๒๔๕๓ ) พระเดชพระคุณองค์นี้ลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนทั่วไปมักเรียกท่านว่า “ ท่านพ่อ” ซึ่งเป็นคำยกย่องของศิษยานุศิษย์และประชาชนบ้านได้ถวายนามนี้ให้กับท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร ท่านเกิดเมื่อปี ๒๔๕๐ บรรพชาเป็นสามเณรและอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๑ มีนามเดิมว่าแก้ว อุทุมมาลา มีชาติภูมิใกล้ๆ กับพระธาตุพนมนี้เองศึกษาทางธรรมได้เปรียญ ๖ ประโยค ได้เป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ท่านเป็นผู้มีความรู้ และชอบค้นคว้าวิชาโบราณคดี ประวัติศาสตร์จนได้รับขนานนามว่า นักปราชญ์แห่งลุ่มน้ำโขง ท่านได้ทำนุบำรุงวัดพระธาตุพนมารมหาวิหารและให้เจริญก้าวหน้าอย่างมากมาย ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ท่านได้ก่อตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารและได้ส่งพระภิกษุ สามเณรและแม่ชีไปศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากหลายสำนัก ได้ฝึกพระภิกษุสามเณรในวัดอยู่เสมอ ๆ
ในเรื่องการนั่งประทับทรงเกี่ยวกับพญานาคนี้ ท่านพ่อเคยกล่าวว่า “ ฉันเป็นคนชอบค้นคว้า และพิสูจน์เรื่องลึกลับต่าง ๆ อยู่เสมอ ไม่ค่อยจะเชื่ออะไรง่าย ๆ แต่เรื่องพญานาคทั้งเจ็ดองค์เข้าทรงที่วัดนี้นะ เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากอยู่ทีเดียว ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้น เป็นเรื่องของส่วนบุคคล” สำหรับเรื่องพญานาคนี้ เกิดขึ้นภายหลังจากที่ท่านพ่อฯ ได้ตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นได้ ๑ ปี เหตุเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณตี ๒ เดือน ๑๑ ขึ้น ๕ ค่ำ พ.ศ. ๒๕๐๐ คืนนั้นฝนตกหนักครึ่งชั่วโมง แล้วตกพรำ ๆ มาอีกกว่า ๒๐ นาที ขณะที่ฝนตกฟ้าร้องดังสนั่นแผ่นดินสะเทือน นายไกฮวด ชาวธาตุพนมได้ออกมารองน้ำฝนที่หน้าร้านของตน เห็นแสงประหลาดเป็นลำงามโตเท่าลำต้นตาลขนาดใหญ่มีสีต่าง ๆ กันถึงเจ็ดสี พุ่งแหวกอากาศแข่งกันเป็นลำยาวหลายเส้น จากทางด้านทิศเหนือ มองเห็นได้แต่ไกล จึงได้ร้องเอะอะเรียกภรรยามาดูแสงสีงามประหลาด หน้าสะพรึงกลัวขนหัวลุกนั่น พอมาถึงหน้าซุ้มประตูแสงนั้นก็หายเข้าไปในองค์พระธาตุพนม โดยที่ไม่ได้ตาฝาดไปเอง ต่อมาอีกสองวัน คือวันขึ้น ๗ ค่ำ เดือนเดียวกัน ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร ได้ให้สามเณรทรัพย์ นั่งทางในตรวจดูเหตุการณ์ว่า แสงประหลาดเจ็ดสีเท่าลำต้นตาล ที่นายไกฮวดเห็นเข้ามาในวัดนี้มีความจริงเท็จแค่ไหน สามเณรทรัพย์เจ้าฌานสมาธิอยู่คู่หนึ่ง ก็เข้าไปพบพญานาคราชทั้งเจ็ดเรียงกันเป็นแถวอยู่บริเวณลานพระธาตุพนม ลำตัวโตใหญ่เท่าลำต้นตาล มีหงอนแดงน่าสะพรึงกลัวสยองพองหัวเหลือที่จะกล่าว สามเณรทรัพย์ยืนงงงันอยู่ด้วยความประหลาดใจ พลันประเดี๋ยวเดียวพญานาคทั้ง ๗ ได้กลับกลายเป็นมาณพ ๗ ชาย ทรงเครื่องขาวเรียงกันเป็นแถวอยู่ที่เดิม จะว่าก้มมิใช่ ยืนก็มิใช่ อากัปกิริยาอยู่ระหว่างยืนกับก้ม สามเณรทรัพย์สนเท่ห์ใจงงจนพูดอะไรไม่ออก ทันใดมาณพผู้เป็นหัวหน้าได้ร้องถามว่า พ่อเณรมีธุระอะไร อย่ากลัวจงบอกมา สามเณรยืนงงอยู่มิได้ตอบว่ากะไร ตั้งใจจะกลับกุฏิ พญานาคผู้เป็นหัวหน้าได้พูดขึ้นอีกว่า “ พ่อเณรจะกลับแล้วหรือยัง ขอไปด้วย จะไปสนทนากับท่านเจ้าคุณ” พอขาดคำก็เข้าประทับร่างสามเณรทรัพย์ ทันทีด้วยจิตอำนาจที่เหนือกว่า สามเณรทรัพย์พลันหมดความรู้สึกวูบไปทันที สักครู่ก็หันมายกมือไหว้ ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร พร้อมกับพูดว่า “ สวัสดีท่านเจ้าคุณ หม่อมฉันมาสองคืนแล้วมิรู้หรือ” ท่านพ่อฯ รู้สึกแปลกใจและสงสัยจึงถามว่า &ldqu