บทความ:
"....แม้พระเทวทัตแล ลุกจากเตียงแล้วนั่งวางเท้าทั้งสองบนพื้นดิน เท้าทั้งสองนั้นก็จมแผ่นดินลง เธอจมลงแล้วโดยลำดับเพียงข้อเท้า, เพียงเข่า, เพียงเอว, เพียงนม, จนถึงคอ, ในเวลาที่กระดูกคางจดถึงพื้นดิน..."
นี่คือวาระสุดท้ายซึ่งปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกของบุคคลที่เรียกว่า เดียรถีย์ที่โด่งดังที่สุดแห่งวงการพระพุทธศาสนาก่อนจะถูกธรณีสูบลง ณ ริมสระน้ำ หน้าวัดเชตวันมหาวิหาร
หลายคนอาจจะสงสัยว่า เรื่องธรณีสูบเกิดขึ้นจริงไหม และคนที่ประพฤติเช่นใดที่ต้องเผชิญยถากรรมแบบนี้
ซึ่งหากไปย้อนดูสมัยโบราณจะเห็นจุดร่วมสำคัญว่า ผู้นั้นจะต้องทำบาปหนัก จนไม่อาจให้อภัยได้ เพราะให้อภัยให้แล้วแต่ยังก่อกรรมที่หนักขึ้นอีก เป็นผู้มีจิตใจต่ำทราม แม้แต่ธรณียังไม่อาจรับน้ำหนักของบาปกรรมไหว จนต้องสูบลงสู่ห้วงนรกอเวจี ไม่ได้เกิดชั่วกัปชั่วกัลป์
ซึ่งตามประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา มีผู้ที่ถูกธรณีสูบมากถึง 5 ชีวิตเลยทีเดียว
1. พระเทวทัต เป็นพระประยูรญาติและเป็นพระเชษฐาของพระนางยโสธรา พระมเหสีของเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านอาฆาตจองเวรกับพระพุทธองค์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และเมื่อเข้ามาบวชก็แสดงความมักใหญ่ใฝ่สูง อยากเป็นศาสดาของศาสนา โดยวีรกรรมอันน่าโจษจันมีตั้งแต่แสดงการเหาะเหินเดินอากาศให้เจ้าชายอชาตศัตรูดู เพื่อให้เกิดความเลื่อมใสและขอเป็นศิษย์ หลังจากนั้นก็ยุแหย่ให้เจ้าชายทำการลอบปลงพระชนม์พระราชบิดา
แล้วยังพยายามลอบปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าอีกหลายครั้ง เช่น ปล่อยช้างตกมันให้วิ่งเข้าชนบ้าง จ้างนายธนู 10 คนมาลอบยิงบ้าง และสุดท้ายพยายามกลิ้งหินให้ตกจากเขาคิชกูฏ โดยหมายให้หินหล่นทับพระพุทธเจ้า แต่หินกลับกระเด็นหนีอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ทว่าสะเก็ดหินกับไปถูกข้อพระบาทจนห้อเลือด แถมยังเสนอให้พระพุทธเจ้าลาออก หรือสร้างกฎที่เคร่งครัดเพื่อเรียกศรัทธา อย่างไม่กินสัตว์ และอยู่ป่าตลอดชีวิต จนคณะสงฆ์แตกแยก

แต่คนชั่วย่อมไม่พ้นบาปกรรม ในที่สุด เมื่อคนก็รู้ความจริงก็ไม่ศรัทธาแถมยังประณาม สุดท้ายท่านก็เกิดความสำนึกนึกและหวังจะขอขมาพระพุทธองค์แต่ไม่ทันกาล เพราะถูกธรณีสูบลงไปก่อน
2. พระเจ้าสุปปพุทธะ เป็นพระราชบิดาของพระเทวทัตและพระนางยโสธรา โดยหลังจากที่พระเทวทัตได้ถูกธรณีสูบลงไปแล้ว ก็มีความอาฆาตพระพุทธองค์ เพราะคิดว่าเป็นต้นเหตุของเรื่อง แถมยังทอดทิ้งพระนางยโสธราไปบวช จนกลายเป็นหม้าย จึงพยายามหาทางกลั่นแกล้งด้วยเกณฑ์อำมาตย์และข้าราชบริพารไปดื่มกินสุราเพื่อขวางทางที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาต ซึ่งเป็นทางเดียวที่เดินได้ ทำให้ทรงอดพระกระยาหาร 1 วัน
เมื่อครั้งพระอานนท์ถามโทษของพระเจ้าสุปปพุทธะว่าจะเป็นเช่นใด ก็ทรงตอบทันทีว่า นับจากนี้อีก 7 วันจะต้องตามพระราชโอรสไปอเวจี พอบรรดาอำมาตย์ได้ยินอย่างนั้น จึงรีบกลับไปรายงานโดยด่วน พระเจ้าสุปปพุทธะจึงหนีขึ้นประทับ ณ ปราสาท 7 ชั้น โดยแต่ละชั้นมีทหารป้องกันไว้ แถมยังทรงตรัสอีกว่า ระหว่าง 7 วันนี้ หากพระองค์ลงมาให้ขัดขวางไว้ จะไม่เอาโทษ
แต่การณ์กลับเป็นว่า พบถึงวันที่ 7 ม้าแก้วซึ่งเป็นม้าที่พระองค์โปรดปรานเกิดอาละวาดร้องเสียงดัง พระองค์ทรงเป็นห่วงม้าเกิดขาดสติรีบวิ่งลงไป ขณะนายทหารก็ไม่ได้ขัดขวางเพราะคิดว่าครบกำหนดแล้ว และพอย่างพระบาทลงเหยียบแผ่นดินเท่านั้น ก็ถูกธรณีสูบลงสู่นรกอเวจีทันที
3. นันทมานพ บุคคลผู้นี้ทำบาปมหันต์ด้วยการข่มขืนพระอุบลวรรณาเถรี โดยเรื่องนี้เกิดจากสมัยที่ยังไม่อุปสมบท ท่านเป็นสตรีที่เลอโฉมมาก
เป็นที่ต้องตาต้องใจบรรดาหนุ่มๆ หลายคน แต่เนื่องจากเกิดความเบื่อหน่ายในโลกโลกีย์ จึงออกบวชและสำเร็จอรหันตผล
แต่นั่นก็ไม่ทำนันทมานพที่เลิกหวัง ยังฝังใจและปรารถนาจะมีเพศสัมพันธ์กับท่านให้จงได้ จึงแอบไปซุ่มอยู่ในป่าข้างกระท่อมที่ท่านจำพรรษาอยู่ เมื่อเห็นว่าออกจากกระท่อมไปบิณฑบาตแล้ว ก็เข้าไปซ่อนอยู่ใต้เตียง พอกลับมาก็ใช้กำลังปลุกปล้ำ พระอุบลวรรณาพยายามขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่มีใครได้ยิน จึงหันไปเตือนสตินันทมานพว่า ให้หยุดการกระทำ ไม่เช่นนั้นจะเกิดความหายนะแก่ตัว แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจ และพอข่มขืนเสร็จ นันทมานพก็วิ่งจากออกจากกระท่อม พอเท้าลงพื้นธรณีก็เปิดอ้าสูบลงไปในขุมนรกไปอีกราย
4. นางจิญจมาณวิกา นางเป็นผู้รับอาสาจากพวกปริพาชกที่อิจฉาพระพุทธองค์ โดยเริ่มแรกก็หลบเข้าไปในวัดเชตวันฯ และทำทีว่าเดินออกมาจากวัด เมื่อคนถามก็บอกว่า ไปอยู่กุฏิของพระสมณโคดม จนผู้คนระแวงสงสัย ทำอย่างนี้อยู่ 9 เดือน ขณะที่ท้องของนางก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะนางเอาไม้กลึงนูนไปผูกรัดเอาไว้
จนเมื่อสบโอกาส ขณะที่พระพุทธองค์เทศนา นางก็ร้องตะโกนว่า พระองค์ทำนางท้อง ซึ่งก็ไม่ทรงแก้ตัวอะไร เพียงแต่ตรัสว่า เรื่องนี้มีแค่ 2 คนคือ พระองค์กับนางจิญจมาณวิกาเท่านั้นที่รู้ ก็ยิ่งสร้างความสงสัยใหญ่หนักเข้าไปใหญ่ เมื่อท้าวสักกเทวราชเห็นดังนั้น จึงสั่งให้เทพบุตรประจำตัวแปลงร่างเป็นหนูไปกัดเชือกที่หน้าท้องปลอมหลุดออกมา แล้วนางตกใจวิ่งหนีไปแต่ไปได้ไม่ไกลธรณีก็สูบเอาลงนรกอเวจีไป

5. นันทยักษ์ ซึ่งเป็นยักษ์ที่มีอิทธิฤทธิ์มาก และชอบเหาะเหินไปมาตามฟากฟ้าพร้อมกับสหายที่ชื่อ เหมตายักษ์ เมื่อถึงจุดที่พระสารีบุตรกำลังทำสมาธิอยู่ บริเวณนั้นว่างเปล่าจากอากาศธาตุ ทำให้นันทยักษ์เหาะผ่านไม่ได้ จึงเกิดบันดาลโทสะ จึงคิดจะฆ่าพระสารีบุตรเสีย โดยเหาะขึ้นบนอากาศ ใช้กระบองฟาดลงบนศีรษะของพระสารีบุตรอย่างแรง จนภูเขาพังไป 100 ลูก แต่พระสารีบุตรไม่ได้รับอันตรายแม้แต่น้อย แล้วจู่ๆ ก็เกิดไฟขึ้นเผาตัวยักษ์ ก่อนจะตกลงมาจากอากาศ ขณะที่แผ่นดินก็เปิดช่องเอาไว้ ทำให้นันทยักษ์กลายเป็นผู้ที่ถูกธรณีไปโดยปริยาย
..........
อย่างไรก็ตาม นั่นอาจจะเป็นเพียงแค่ตำนานที่ไม่ใครกล้ายืนยัน แต่ถ้าถามว่า โอกาสที่ธรณีสูบจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น ตอบได้เลยว่า 'เป็นไปได้' และ 'เป็นไปแล้ว'
ดร.พีรนันท์ โตวชิราภรณ์ หัวหน้าแผนกวิเคราะห์ความเสี่ยงภัยพิบัติ องค์กรเตรียมภัยพิบัติแห่งเอเชีย อธิบายว่า ธรณีสูบตามหลักธรณีวิทยา แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือการที่พื้นดินยุบลงไป กับการเลื่อนของพื้นดิน
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยและกลไกหลายอย่าง ตรงนั้นอาจจะเคยเกิดแผ่นดินไหวมาก่อน หรือฝนตกหนักมาก ทำให้เกิดช่องว่างลงในชั้นพื้นดิน ตามเนินเขาต่างๆ ก็เช่นกัน โดยเฉพาะที่เป็นดินร่วนหรือดินเหนียว หากมีความชื้นหรือความอิ่มตัวของน้ำมากเกินไปก็มีสิทธิ์เลื่อนตัวได้
"หลุมพวกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่เป็นการสะสมมาเรื่อยๆ เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นตอนแรกที่ชั้นดิน แต่เกิดในจุดที่ลึกกว่านั้น โดยจะมาในรูปของช่องว่างหรือช่องอากาศที่เกิดขึ้นใต้ดิน หรือไม่ก็เกิดจากการไหลเลื่อนของดินทรายที่อยู่ในชั้นใต้ดิน จากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง และหากเกิดแรงสั่นสะเทือนหรือมีน้ำเข้ามามากๆ แล้วทำให้ชั้นดินรับน้ำหนักไม่ไหว ก็จะเกิดการยุบตัวเป็นหลุมในที่สุด ซึ่งบางประเทศยุบได้เป็นสิบๆ เมตรเลย"
ตัวอย่างที่โด่งดังสุด ก็คือกรุงกัวเตมาลา ประเทศกัวเตมาลา ที่เกิดธรณีสูบถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี 2550 ซึ่งจู่ๆ ก็มีหลุมขนาดยักษ์ถึง 100 เมตร มีผู้เสียชีวิตถึง 3 คน อีกครั้งในปี 2553 คราวนี้ลึก 60 เมตร กว้าง 20 เมตร กลืนกินสี่แยกและตึก 3 ชั้น แถมคร่าชีวิตผู้เคราะห์ร้ายมากถึง 15 ราย
ส่วนประเทศไทย ยังไม่เคยมีเหตุการณ์ใหญ่ๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว
อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะรู้ก่อนว่าตรงนี้จะเกิดธรณีสูบหรือไม่นั้น ก็ยากไม่ใช่เล่น เพราะต้องมีการตรวจใต้ชั้นดิน ซึ่งจะทำเฉพาะเวลาสร้างอาคารสูง หรือทำอุโมงค์ใต้ดินเท่านั้น แต่อย่างดีที่เรื่องพวกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ
"ประเทศที่มีโอกาสเสี่ยงก็คือ ประเทศที่มีแผ่นดินไหวเยอะ อย่างญี่ปุ่น ผมเคยเห็นว่าช่วงแผ่นดินไหว บ้านเขายุบตัวลงไป ในดินเพราะดินมันสูญเสียกำลังจะรับน้ำหนักแล้ว" ดร.พีรนันท์กล่าวทิ้งท้าย
----------------------
http://www.tmd.go.th/earthquake_report.php
มิ.ย.๒๕๔๓ แผ่นดินไหวที่ไทย ๓.๗ ริกเตอร์
ธ.ค.๒๕๔๗ แผ่นดินไหวที่อินโดนีเซีย ๙.๐ ริกเตอร์ เกิดซูนามิพัดเข้าภาคใต้ของไทย และประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบแปซิฟิก มีผู้เสียชีวิตประมาณ ๓ แสนคน (ไทย ๕ พันคน)
ก.พ.๒๕๕๔ แผ่นดินไหวที่นิวซีแลนด์ ๗.๒ ริกเตอร์
ก.พ.๒๕๕๔ แผ่นดินไหวที่ลาว ๔.๗ ริกเตอร์
มี.ค.๒๕๕๔ แผ่นดินไหวที่จีน ๕.๘ ริกเตอร์
มี.ค.๒๕๕๔ แผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น ๙.๐ ริกเตอร์ เกิดความเสียหายมากที่สุดหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ รวมทั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของญี่ปุ่น
มี.ค.๒๕๕๔ แผ่นดินไหวที่พม่า ๗.๖ ริกเตอร์
เม.ย.๒๕๕๔ แผ่นดินไหวซ้ำที่ญี่ปุ่น ๗.๔ ริกเตอร์
เม.ย.๒๕๕๔ แผ่นดินไหวซ้ำที่เวียดนาม ๔.๑ ริกเตอร์
เม.ย.๒๕๕๔ พายุเทอร์นาโด พัดถล่มอเมริกากว่า ๓๐๐ ลูก มากที่สุดในรอบ ๔๐ ปี ผู้คนเสียชีวิตกว่า ๒๐๐ คน
เม.ย.๒๕๕๔ ภูเขาไฟระเบิด ใน ๒-๓ ประเทศ เช่น ไอซ์แลนด์ ในรอบ ๓๐ ปี (ขนาดเล็ก แต่มีความถี่เพิ่มขึ้น ในรอบ ๖ เดือนของปี ๒๕๕๔ ควรติดตามข่าวร่วมกับแผ่นดินไหว)
มี.ค.-เม.ย.๒๕๕๔ ถัดจากชะอำและหัวหินลงไป ภาคใต้ของไทยมีเหตุการณ์ฝนตกน้ำท่วมความเสียหายหนักกว่าเดือน พ.ย.๒๕๕๓ ที่ผ่านมา ร่วมถึงกรณีแหลมตะลุมพุก ปี ๒๕๐๔
พ.ค.๒๕๕๔ แผ่นดินไหวที่ฟิลิปปินส์ ๕.๔ ริกเตอร์
พ.ค.๒๕๕๔ แผ่นดินไหวที่สเปน ๕.๓ ริกเตอร์
พ.ค.๒๕๕๔ แผ่นดินไหวที่คอสตาริก้า ๖.๐ ริกเตอร์
พ.ค.๒๕๕๔ แผ่นดินไหวซ้ำที่ญี่ปุ่น ๖.๒ ริกเตอร์
พ.ค.๒๕๕๔ แผ่นดินไหวที่ชายฝั่งทะเลปาปัวนิวกีนี ๖.๐ ริกเตอร์
พ.ค.๒๕๕๔ น้ำท่วมหนักสุดในรอบ ๔๐ ปี ที่โคลัมเบีย และ มิสซิสซิปปี
พ.ค.๒๕๕๔ แผ่นดินไหวที่ตุรกี ๖.๐ ริกเตอร์
พ.ค.๒๕๕๔ แผ่นดินยุบตัวอันเกิดจากฝนตกหนักที่มาเลเซีย มีเยาวชนเสียชีวิตไป ๒๐ คน
พ.ค.๒๕๕๔ เกิดพายุฝน และฟ้าผ่าทำลายต้นไม้ บ้านเรือนที่อินเดีย มีผู้เสียชีวิต ๔๓ คน
พ.ค.๒๕๕๔ พายุเทอร์นาโด พัดถล่มรัฐโอคลาโฮมา และมิสซูรี ของอเมริกา รุนแรงในรอบ ๖๐ ปี
พ.ค.๒๕๕๔ แผ่นดินไหวที่อินโดนีเซีย ๖.๒ ริกเตอร์
มิ.ย.๒๕๕๔ พายุเทอร์นาโด ๒ ลูก (รุนแรงกว่าที่เคยเกิด) พัดถล่มรัฐแมสซาชูเสส ของอเมริกา
มิ.ย.๒๕๕๔ ภูเขาไฟปะทุ ในประเทศชิลี
มิ.ย.๒๕๕๔ น้ำท่วมหนักสุดในมณฑลกุ้ยโจว ประเทศจีน ทำลายพื้นที่ไร่ของเกษตรกรไป ๑๓,๗๕๐ ไร่ พาหนะรถยนต์กว่า ๕๐๐ คันถูกซัดไปตามน้ำ บ้านกว่า ๑๐๐ หลังคาเรือนถูกทำลาย
ก.ค.๒๕๕๔ แผ่นดินไหวที่อุซเบกิสถาน มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย ๑๓ ราย และผู้บาดเจ็บอีก ๘๖ ราย
ก.ย.-ธ.ค.๒๕๕๔ เกิดอุทกภัยในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ กัมพูชา ไทย และเวียดนาม โดยเฉพาะประเทศไทย กว่า ๓๕ จังหวัด รวมถึงกรุงเทพมหานคร ทรัพย์สินเสียหายกว่า ๑ ล้านล้านบาท ประชาชนเสียชีวิตกว่า ๕๐๐ คน รวมทั้งวาตะภัยพายุโซนร้อนในฟิลิปปินส์โดยเฉพาะเกาะมินดาเนา ผู้คนเสียชีวิตกว่า ๘๐๐ คน บ้านเรือนเสียหายกว่าพันหลังคาเรือน
เมื่อปี ๒๕๕๕ เริ่มต้น...
เดือนมกราคม ๒๕๕๕
ภาคใต้ของประเทศไทยน้ำท่วมจากฝนตกหนัก คลื่นทะเลสูง ทำให้เรือสินค้าของเวียดนาม ระวาง ๕๖,๐๐๐ ตัน จมหายในแปซิฟิค แผ่นดินไหว ๗.๓ ริกเตอร์ ใต้มหาสมุทรใกล้อินโดนีเซีย ๖.๑ ริกเตอร์ ในเปรู และเกิดอุบัติเหตุพลุระเบิดครั้งใหญ่ในการฉลองวันตรุษจีนในประเทศไทย ผู้คนเสียชีวิตบาดเจ็บจำนวนหนึ่งบ้านเรือนเสียหายในรัศมี ๔ กิโลเมตร มีฝนตกหนักในกรุงเทพฯและเกือบทุกภาคของไทยหลังตรุษจีนถึงปลายเดือนมกราคม
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
ทวีปยุโรปหนาวจัดหิมะตกหนัก โดยเฉพาะรัสเซีย, โปแลนด์ อุณหภูมิติดลบ ๒๓-๔๐ องศาเซลเซียส
ผู้คนเสียชีวิตจากความหนาวกว่า ๔๐๐ คน อากาศหนาวทำให้แม่น้ำในญี่ปุ่นและจีนกลายเป็นน้ำแข็ง ฟิลิปปินส์เกิดแผ่นดินไหว ๖.๘ ริกเตอร์ มีผู้คนเสียชีวิตทรัพย์สินเสียหายจำนวนหนึ่ง หลายพื้นที่บนโลกมีปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ยากเพิ่มจำนวนมากขึ้น สัตว์และพืชทะเลมีความแปรปรวนในการดำรงชีวิต เช่น ปลาวาฬเกยตื้น โดยเฉพาะบริเวณที่เขตกระแสน้ำอุ่นและน้ำเย็นมาปะทะกัน (หอยนางรมในเขตปากน้ำใกล้ กทม. เสียหายกว่า ๘๐% จากน้ำท่วมไหลออกสู่อ่าวไทย) หลังวาเลนไทน์ เกิดพายุไซโคลนพัดถล่มเกาะมาดากัสก้า มีผู้คนเสียชีวิต ๑๖ คน บ้านเรือนเสียหายกว่า ๓ พันหลัง ปลายเดือนก.พ.อุณหภูมิในยุโรปเพิ่มขึ้นหิมะเริ่มละลาย ทำให้เกิดกระแสน้ำในแม่น้ำดานูฟ เขตเซอร์เบียพัดพาเรือแตกเสียหายเป็นจำนวนมาก สัปดาห์สุดท้ายของเดือน เกิดน้ำท่วมหนักจากพายุฝนที่บราซิลและโบลิเวีย มีหมอกควันที่เกิดจากการเผาเศษพืชไร่หรือในป่าตามความเชื่อก่อนการเพาะปลูกของชาวเกษตรดั้งเดิม ทำให้ภาคเหนือของไทยหลายจังหวัดมีคุณภาพอากาศต่ำลง เช่นเดียวกับอินโดนีเซียซึ่งใช้วิธีการเดียวกันและจะต่อเนื่องไปจนถึงปลายเดือนมีนาคม
วันสุดท้ายของเดือน ๒๙ ก.พ. (ปีอธิกสุรทิน) พายุทอร์นาโดพัด ๑๘ ลูก ถล่มแฮร์ริสเบิร์ก มลรัฐอิลลินอยส์ และที่เมืองแบรนสัน บัฟฟาโล แคสวิลล์ เลบานอน โอกริดจ์ มลรัฐแคนซัส บ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก
เดือนมีนาคม ๒๕๕๕
เกิดน้ำท่วมจากฝนตกหนักที่เมืองซิดนีย์และรัฐวิคตอเรีย, นิวส์เซาท์เวลล์ ของประเทศออสเตรเลีย เข้าท่วมบ้านเรือนเสียหายทางการคาดว่าน้ำท่วมครั้งนี้จะทำลายสถิติน้ำท่วมหนักที่สุดในปี พ.ศ.๒๔๒๙ ขณะเดียวกันเกิดพายุพัดเข้า ๒ เมืองของนิวซีแลนด์เกิดความเสียหายแก่บ้านเรือนหลายล้านดอลล่าร์ ยังไม่พบผู้เสียชีวิต
๔ มี.ค.เกิดแผ่นดินไหว ๓ ริกเตอร์ แถบจังหวัดกาญจนบุรี ไม่พบความเสียหายใด ๆ
๕ มี.ค.ชายแดนระหว่างฝรั่งเศส เบลเยี่ยมเกิดหิมะตกหนักอีกครั้งหนึ่ง(ในแรกเริ่มของฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งไม่น่าจะมีหิมะตกอีก)
๖-๙ มี.ค. ดวงอาทิตย์ปลดปล่อยอนุภาคมีประจุมายังโลก โดยนับเป็นพายุสุริยะที่ใหญ่ที่สุดที่ปะทะโลกโดยตรงในรอบ ๕ ปีที่ผ่านมา ทำให้การสื่อสารทางไกลผ่านโทรศัพท์ในเมืองอิลลินอยส์ของสหรัฐฯ ถูกตัดขาด (สัญญาณดาวเทียมถูกรบกวน) ดาวเทียมถ่ายทอดในประเทศไทยถูกคลื่นรบกวน (sun outage) เช่นกัน
๑๒ มี.ค. เกิดน้ำท่วมหนักในเมืองอเล็กกา, อิรินาของชิลี เช่นเดียวกับที่เปรู มีดินถล่มร่วมด้วย บ้านเรือนเสียหายนับพันหลัง ไม่มีข่าวผู้เสียชีวิต.
๑๓ มี.ค.รัสเซีย-เกาหลีใต้ลงนามวิจัยร่วมคืนชีพช้างแมมมอธ (โดยใช้การโคลนนิ่งซากช้างแมมมอธที่พบในชั้นดินเยือกแข็งคงตัวของไซบีเรีย หลังจากภาวะโลกร้อนทำน้ำแข็งละลาย เป็นครั้งแรกที่โคลนนิ่งสัตว์ดึกดำบรรพ์)
๑๔ มี.ค.คลื่นสึนามิขนาดย่อมซัดเข้าชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นหลังจากเกิดแผ่นดินไหวระดับ ๖.๙ นอกชายฝั่งเกาะฮอกไกโด พร้อมเกิดแผ่นดินไหวระดับ ๕.๗ ทางตะวันออกของกรุงโตเกียว
๑๕-๑๗ มี.ค.พายุฤดูร้อนพัดทำลายสิ่งปลูกสร้าง บ้านเสียหายหลายร้อยหลังคาเรือนในจังหวัดทางภาคเหนือและภาคอีสานของไทย
๑๙ มี.ค. ทอร์นาโดถล่มเมืองทาวส์วิลล์ รัฐควีนส์แลนด์ ออสเตรเลียบ้านเรือนเสียหาย ๔๐ หลัง ไม่มีผู้เสียชีวิต
๒๑ มี.ค. แผ่นดินไหวบริเวณตอนใต้ของแม็กซิโก ๗.๔ ริกเตอร์ มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย และที่อินโดนีเซีย ๖.๒ ริกเตอร์ แรงสั่นสะเทือนตรวจสอบได้ถึงญี่ปุ่น ความเสียหายเล็กน้อย ไม่มีผู้เสียชีวิต
วันเดียวกันนี้เกิดหิมะถล่มในแถบภูเขาทางเหนือและตะวันออกของอัฟกานิสถานผู้คนเสียชีวิตรวมต้นเดือนก่อนหน้านี้ ๘๒ ศพ จัดเป็นฤดูหนาวที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษของอัฟกานิสถาน
๒๔ มี.ค. แผ่นดินไหวบริเวณใกล้เมืองเออร์นาเบลลา ของออสเตรเลีย ๖.๑ ริกเตอร์ ยังไม่พบความเสียหาย
(update : 04:14 GMT+7)
(แผ่นดินไหวไม่สามารถเตือนล่วงหน้าได้ว่าจะเกิด ณ ที่ใด แต่มีความสัมพันธ์กับสภาวะสิ่งแวดล้อมระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ส่วนพายุและอุทกภัย วาตภัย และภูเขาไฟระเบิด สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้จากหน่วยงานอุตุนิยมฯทั่วโลก การเตรียมพร้อมเกี่ยวกับพิบัติภัยธรรมชาติเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง
โลกยังไม่แตกดับจากธรรมชาติและยังจะมีอายุไปอีก ๓ พันล้านปี (ทั้งระบบสุริยะ ๕ พันล้านปี) ส่วนเผ่าพันธุ์มนุษย์อาจสูญพันธุ์หรือดำรงอยู่ได้ตราบเท่าที่ไม่ทำลายล้างกันเอง หรือทำให้สิ่งแวดล้อมเป็นพิษโดยวัฐจักรธรรมชาติปรับเปลี่ยนไม่ทัน)
-------------
ภัยธรรมชาติ เป็นปรากฏการณ์เกิดขึ้นได้ในโลก คำสอนของศาสนา ทำให้ไม่อยู่ในความประมาท
ที่พึ่งของตัวเอง เราทำได้แล้ว (ตัวอย่างในคำสอน)...
"อานนท์ ตถาคตได้เคยบอกเธอแล้วมิใช่หรือว่า สัตว์จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจไปทั้งสิ้น สัตว์จะได้ตามปรารถนาในสังขารนี้แต่ไหนเล่า การที่จะขอให้สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นแล้ว มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว และที่จะต้องมีการแตกดับเป็นธรรมดาว่า อย่าฉิบหายเลย ดังนี้ ย่อมไม่อยู่ในฐานะที่จะมีได้ เป็นได้ การปรินิพพานของเราตถาคตจักมีในกาลไม่นานเลย ดังนี้ จากนี้ไปอีก ๓ เดือน เราจักนิพพาน ฯลฯ
สัตว์ทั้งปวง ทั้งที่เป็นคนหนุ่มสาว แก่เฒ่า ทั้งที่เป็นพาลและบัณฑิต ทั้งที่มั่งมีและยากจน ล้วนแต่มีความตายเป็นเบื้องหน้า เปรียบเสมือนภาชนะดิน ที่ช่างปั้นหม้อได้ปั้นแล้ว ทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งที่สุกและยังดิบ ล้วนแต่มีการแตกทำลายไปในที่สุด ฉันใด ชีวิตแห่งสัตว์ทั้งหลาย ก็ล้วนแต่มีความตายเป็นเบื้องหน้า ฉันนั้น
วัยของเราแก่หง่อมแล้ว ชีวิตของเราริบหรี่แล้ว เราจักต้องละจากพวกเธอไป ที่พึงของตัวเองเราได้ทำแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเป็นผู้ไม่ปรารถนา มีสติ มีศีล มีความดำริอันตั้งไว้แล้วด้วยดี ตามรักษาซึ่งจิตของตนเถิด ในธรรมวินัยนี้ ภิกษุใดเป็นผู้ไม่ประมาท ก็สามารถที่จะถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้"
สำนักข่าว BBC แห่งประเทศอังกฤษได้ทำสารคดีชุดหนึ่งเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ ตั้งแต่เกิดจนตาย ว่า ร่างกายนี้ได้ผ่านการเจริญเติบโต และร่วงโรยอย่างไรบ้าง มีตอนหนึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ทำสถิติแล้วพบว่า โดยเฉลี่ย ผู้หญิงชาวอังกฤษ และคนทั่วโลกตั้งแต่เกิดจนตาย มีน้ำตาไหลออกมาเพราะการร้องให้เสียใจเป็นจำนวน 65 ลิตร ถึง 80 ลิตร
ลองเปรียบเทียบกับที่ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังสารวัฏนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ น้ำตาที่หลั่งไหลของพวกเธอผู้ท่องเที่ยวไปมา คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ โดยกาลนานนี้ แล มากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของมารดาตลอดกาลนาน น้ำตาที่หลั่งไหลออกของเธอเหล่านั้น ผู้ประสบมรณกรรมของมารดา คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ นั่นแหละ มากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย พวกเธอได้ประสบมรณกรรมของบิดา ... ของพี่ชายน้องชาย พี่สาว น้องสาว ... ของบุตร ... ของธิดา ... ความเสื่อมแห่งญาติ ...ความเสื่อมแห่งโภคะ ... ได้ประสบความเสื่อมเพราะโรค ตลอดกาลนาน น้ำตาที่หลั่งไหลออกของเธอเหล่านั้น ผู้ประสบความเสื่อมเพราะโรค คร่ำครวญร้องไห้อยู่ เพราะประสบสิ่งที่ไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่พอใจ นั่นแหละมากกว่า ส่วนน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ ไม่มากกว่าเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสังสารวัฏนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ ผู้มีอวิชชา (ความไม่รู้อริยสัจสี่) เป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัดพอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ น้ำทะเลในโลกนี้มีปรมาณ 1,370ล้านล้านลูกบาศ์กิโลเมตร ท่านทั้งหลายลองคำนวณดูเล่นๆก็แล้วกันว่าเท่าที่เกิดมานี้นับมาได้กี่ล้านๆชาติแล้ว ยังมีอีกหลายพระสูตรที่แสดงการเปรียบเทียบในลักษณะอื่นๆ อีกดังนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า บุรุษปั้นมหาปฐพีนี้ให้เป็นก้อน ก้อนละเท่าเม็ดกระเบาแล้ววางไว้ สมมติว่า นี้เป็นบิดาของเรา นี้เป็นบิดาของบิดาของเรา โดยลำดับ บิดาของบิดาแห่งบุรุษนั้นไม่พึงสิ้นสุด ส่วนมหาปฐพีนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สังสารวัฏนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้า ตลอดกาลนานเหมือนฉะนั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ( --สํ. นิ. 16/424 ) เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายพึงมาปฏิบัติธรรมเพื่อให้หลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์เถิด.
แสดงเจตนา
เรื่องและภาพรวบรวมมาจากอินเตอร์เน็ตที่เจ้าของไม่ได้สงวนสิทธิ์ในการเผยแพร่ไว้
ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในเจตนากุศลในการเผยแพร่ธรรมทานอย่างบริสุทธิ์ของท่านเหล่านั้น
หากข้อความใดหรือภาพใดมีผู้หวงห้าม ข้าพเจ้าขออภัยและขอบอกกล่าวว่า ไม่มีเจตนาลักขโมยของท่าน
เพียงนำมาเผยแพร่เป็นธรรมทานให้ผู้สนใจทั่วไป และมีเจตนาให้นำไปเผยแพร่ต่อได้
ขอขอบคุณ เรื่องและภาพจากอินเตอร์เน็ต
นายนิคม พวงรัตน์ รวบรวม เรียบเรียง เผยแพร่