เรื่องเล่าเกี่ยวกับ มักกะลีผลหรือ นารีผล
มักกะลีผลเป็นพืชวิเศษชนิดหนึ่ง ปลูกอยู่ในป่าหิมพานต์ ว่ากันว่านารีผล ขั่วลูกอยู่ด้านบนศรีษา มีรูปร่างเป็นหญิง ผลสดรูปร่างสะโอดสะองสมส่วน ผิวพรรณงดงาม ปานเทพธิดา ว่ากันว่า บางครั้งฤาษีที่บำเพ็ญเพียรจนตะบะแก่กล้า กิเลศสงบ เพื่อทดสอบจิตตน ก็จะเหาะไปที่ต้นนารีผล มองดูนารีผล ว่าตนจะตบะแตกหรือไม่ หรือบางครั้งฤาษีผู้เป็นอาจารย์อาจจะพาลูกศิษย์ไปทดสอบระดับจิต ไปฝึกควบคุมจิต ที่นั่น ก็มี และว่ากันว่า พวกวิทยาธรมักจะเหาะไปเก็บนารีผล อุ้มมาเชียชมแล้วฝึกจิตใหม่ ค่อยเหาะกลับออกมา นารีผล เป็นที่ต้องการของสัตว์วิเศษ (คนธรรพ์เป็นต้น) รวมถึงวิทยาธรทั้งหลาย ผู้ยังไม่หมดกามราคะ ดังนั้น การที่นารีผลจะเหี่ยวแห่งคาต้นแล้วร่วงหล่นนั้นเป็นไปได้ยาก ก่อนจะโรยรา จะมีเทวดา สัตว์วิเศษ และวิทยาธร เป็นต้น มาเก็บเอาไป

มักกะลีผล” มีขนาดสัดส่วนเท่ากับหญิงสาวอายุ 16 ปี ใบหน้ารูปไข่ มีเส้นผมยาวสยายเป็นสีทองเหมือนผู้หญิงฝรั่ง ตรงกลางกระหม่อมมีลักษณะเหมือนขั้วผลไม้เทียบได้กับมังคุด นัยน์ตาใหญ่ได้รูป ส่วนที่เป็นนัยน์ตาดำมีประกายระยิบระยับคล้ายเจือเกร็ดทอง นัยน์ตาขาวเป็นสีฟ้าใส จมูกโด่งรับกับปาก ช่วงลำคอ เป็นปล้อง 3 ปล้อง ไม่มีไหปลาร้า ดูอิ่มเต็มเนียนไปหมด ผิวพรรณหรือผิวหนังตึงเต่งเหมือนผิวมะปรางสุก นิ้วมือเรียวลงไปเหมือนนิ้วมนุษย์ แต่ปลายนิ้วทั้ง 4 ยาวเสมอกัน เว้นหัวแม่มือ หลังมือก็อิ่มเต็มเกลี้ยงเกลา ข้อมือข้อเท้ากลมกลึงไม่มีปุ่มกระดูกเหมือนคนทั่วไป และกลิ่นหอมที่อวลตลบอยู่ในถ้ำ แท้จริงเป็นกลิ่นดอกไม้ที่ระเหยมาจากมักกะลีผลนี่เอง
ต่อไปนี้คือเรื่องเล่ามักกะลีผลเกี่ยวกับหลวงพ่อจรัล ฐิตธมฺโม
เมื่อพระสิงหลเห็นหลวงพ่อจรัญ พิจารณาจนพอใจแล้ว จึงเล่าให้ฟังว่า ท่านได้มักกะลีผลนี้มาจากป่าหิมพานต์ (ป่าหิมพานต์ : ป่าที่อยู่รอบภูเขาหิมาลัย อยู่ทางทิศเหนือของประเทศอินเดีย/จากพจนานุกรมฉบับประมวลศัพท์โดยพระเทพเวที พ.ศ.2536) มักกะลีผล เป็นต้นไม้ที่ออกดอกมาเป็นพวงๆหนึ่งมี 5 ผล รูปร่างเป็นผู้หญิงสาวทั้งนั้น พอ 7 วันจะหมดอายุร่วงหล่นพร้อมๆกันามมหัศจรรย์เหนือโลกที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชสุทธิญานมงคล (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) ได้ไปพบเห็นมักกะลีผล ด้วยตาเนื้อของท่านที่ประเทศศรีลังกา เมื่อหลวงพ่อจรัญพบเห็นมักกะลีผลที่ประเทศศรีลังกาแล้ว ท่านได้อธิษฐานจิตขอพบมักกะลีผลในประเทศไทย “เหตุมหัศจรรย์” ก็เกิดขึ้นอีกครั้งที่วัดอัมพวันผู้ครอบครอง “มักกะลีผล” ในไทย
ที่จังหวัดลพบุรี...มีวัดแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนที่ดอนกลางท้องทุ่ง เจ้าอาวาสเป็นพระภิกษุสงฆ์ผู้ปฏิบัติชอบ มีศีลาจารวัตรงดงามเป็นที่เคารพศรัทธา
ของชาวบ้านในละแวกนั้นชายชราผู้หนึ่งแต่งกายคร่ำคร่า ค่อนไปทางสกปรกสะพายย่ามใบใหญ่ใส่ของไว้จนโป่ง เดินเข้ามาหามนัสการเจ้าอาวาส และพูดว่า “กระผมเดินทางมาไกล จะเดินทางกลับบ้านก็ยังอยู่ไกลเหลือเกิน อยากจะขอความเมตตาจากพระคุณเจ้าพักทีวัดนี้สัก 7 วัน พอให้มีเรี่ยวแรงก็จะเดินทางต่อไป” ท่านเจ้าอาวาสมีจิตเมตตาจึงเอ่ยปากอนุญาตให้พักที่ศาลา ให้ทายกวัดจัดสำรับกับข้าวมาให้คนจรสูงอายุกินด้วย แต่ทายกทำท่ารังเกียจเดียดฉันท์ เพราะเห็นเป็นคนสกปรกมอมแมมไม่อยากต้อนรับ เจ้าอาวาสจึงเป็นผู้จัดการเสียเอง เมื่อครบกำหนด 7 วัน ชายชราก็มาหาเจ้าอาวาสบอกว่าขอนมัสการกราบลา และ ขอบพระคุณที่ท่านเจ้าอาวาสที่เมตตาให้กินอยู่หลับนอนตลอด 7 วัน ท่านเจ้าอาวาสก็ยิ้มแย้มไม่ว่ากระไรและมีน้ำใจเดินไปส่งจนถึงประตูหลังวัด ก่อนจะออกนอกเขตวัด ชายชราคนจรได้มนัสการท่านเจ้าอาวาส แล้วกล่าวว่า “พระคุณเจ้าเป็นผู้มีเมตตา กระผมอยากจะทดแทนพระคุณของท่าน ก่อนอื่นกระผมขอเตือนพระคุณเจ้าว่า หากมีความต้องการจะทำอะไรเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา ก็ให้รีบลงมือทำทันทีให้แล้วเสร็จภายใน 4 ปี หลังจากนี้พระคุณเจ้าจะไม่ได้อยู่ทีวัดนี้แล้ว ประการต่อมากระผมขอถวายสิ่งที่อยู่ในย่ามนี้ให้พระคุณเจ้าเก็บรักษาไว้ ถือว่าเป็นสิ่งแทนน้ำใจของกระผมก็แล้วกัน” ชายชราคนจรปล่อยย่ามจากหัวไหล่และมอบให้ท่านเจ้าอาวาสแล้วก็กราบลาไป สมภารเจ้าอาวาสเปิดย่ามดูเห็นของประหลาดอยู่ในย่ามมีกระดาษเขียนข้อความว่า “มักกะลีผล 2 ผลนี้ ข้าพเจ้าได้มาจากป่าหิมพานต์ เป็นของฝากของขวัญมอบให้สมภารไว้ที่นี่” นอกจากนั้นยังทำนายเหตุการณ์และสั่งความไว้อีกพอควร เมื่อท่านสมภารเห็นมักกะลีผลและข้อความที่เขียนไว้เป็นอัศจรรย์ จึงตะโกนเรียกคนในวัดให้วิ่งไปตามชายชราคนจรกลับมาโดยเร็ว ลูกศิษย์วัดก็รีบลนลานออกประตูหลังวัดไปทันที ทั้งที่ชายชราผู้นั้นเดินจากไปไม่นานและบริเวณหลังวัดก็เป็นทุ่งนาโล่งไปตลอดสุดสายตา แต่ลูกศิษย์ที่วิ่งไปตามชรากลับไม่เห็นใครเลย ราวกับชายชราผู้นั้นหายตัวไปเสียแล้ว เมื่อท่านสมภารกลับมาดูยังที่พักของชายชรา เสื่อหมอนที่ใช้นอน ใช้หนุน แทนที่จะเหม็นสาบ เพราะผู้ใช้สกปรกซอมซ่อเหลือกำลัง กลับระเหยกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นธูปเทียนและน้ำมันจันทน์ตลบอบอวลท่านเจ้าอาวาสได้เก็บรักษามักกะลีผลไว้อย่างมิดชิด แล้วเร่งสร้างกุฏิกรรมฐานจนแล้วเสร็จ เป็นที่ปลาบปลื้มยินดีสำหรับท่าน เมื่อครบเวลา 4 ปี เจ้าอาวาสก็ถึงแก่มรณภาพ เป็นไปตามคำของชายชราคนจรซึ่งเคยเตือนไว้เจ้าอาวาสรูปนี้บวช 2 ครั้ง บวชครั้งแรกตามประเพณี แล้วก็สึกออกไปเป็นฆราวาส มีครอบครัวลูกเมียไปตามปกติ ครั้นอายุมากขึ้นเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตทางโลก จึงได้กลับมาบวชอีก กระทั่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัด ลูกชายของท่านเจ้าอาวาสองค์นี้เป็นลูกศิษย์ของ
หลวงพ่อจรัญตั้งแต่เล็กๆ หลวงพ่อได้อุปการะเลี้ยงดูและส่งเสียให้เรียนหนังสือและบวชให้ เมื่อเป็นพระภิกษุก็ได้ศึกษาเล่าเรียนที่วัดอัมพวัน จนกระทั่งสึกหาลาเพศไป เมื่อท่านสมภารมรณภาพ ลูกชายก็ไปทำศพ ไปได้มักกะลีผล 2 ผล ของหลวงพ่อสมภารกลับมา แล้วนำมาถวายให้หลวงพ่อจรัญอธิษฐานจิตที่หลวงพ่อจรัญได้กำหนดไว้ที่ภูเขาสีคิริยา ได้ปรากฏเป็นอัศจรรย์ขึ้นแล้วที่วัดอัมพวันหลวงพ่อจรัญได้เก็บรักษามักกะลีผลนี้ไว้เงียบๆ ขณะเดียวกันก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของมักกะลีผลตามกฎอนิจจังเป็นลำดับ ธรรมชาติของมักกะลีผลเป็นพืชผล แม้จะอุบัติขึ้นด้วยความมหัศจรรย์เหนือโลก ก็ไม่อาจหนีพ้นความเสื่อมไปได้ คราวแรกที่หลวงพ่อจรัญได้รับมักกะลีผลทั้งสองผลมานั้น ยังมีขนาดใหญ่พอควร ต่อมาก็ค่อยๆ แห้งเฉาลดขนาดลงไปเรี่อยๆ จนกระทั่งเหลือความสูงประมาณ 10 นิ้วฟุต และเมื่อแห้งเฉาถึงสุดแล้ว ก็เหลือเพียงรูปถ่ายซึ่งได้บันทึกเก็บไว้เท่านั้น
หมายเหตุ:
อ้างอิง : นที ลานโพธิ.รวมเรื่องอัศจรรย์. กรุงเทพฯ: ฉัตรแก้ว,2542
ที่มา: http://kachin.biz/main/modules.phpn...article&sid=68
ต่อไปนีคือเรื่องเล่ามักกะลีผลที่จังหวัดสิงห์บุรี
จาก http://www.oknation.net/blog/winsstars/2010/02/26/entry-1
ช่วงนี้ได้มีโอกาสได้ไปเดิน ๆ ย่ำ ๆ อยู่แถว ๆ เมืองเก่าสิงห์บุรี แผนดินแห่งวีรชนคนกล้าแห่งบ้านบางระจัน สิงห์บุรีเป็นเมืองเล็ก ๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่หลาย ๆ คนมักจะหลงลืมกันไปและแทบไม่ได้แวะเข้ามาข้องเกี่ยวใด ๆ หารู้ไม่ว่าสิงห์บุรีนอกจากจะมีทิวทัศน์ที่สวยงาม มีปลาช่อนแม่ลาแล้ว สิงห์บุรียังเป็นดินแดนแห่งธรรมที่มีวัดวาอารามอยู่ทั่วไปหมด
หลังจากเหนื่อยจากการทำงานแล้ว อำเภอเมืองสิงห์บุรีก็เป็นที่หมายที่จะต้องกลับไปพัก ขับรถผ่านไปมามองเห็น "วัดพระนอนจักรสีห์" มาเนินนานแต่ก็ไม่ได้แวะเข้าไปเสียที จวบจนเที่ยงวันนี้ที่คิดว่าจะแวะเข้าไปนมัสการพระพุทธรูปปรางค์ไสยาตรองค์นี้เสียหน่อย รถจอดในที่จอดเราลงเดินไปตามทางที่ทางวัดจัดให้ วันธรรมดาอย่างนี้ วัดแห่งนี้ก็ยังไม่เงียบเสียทีเดียว
เดินไปตามทางผ่านวิหารต่าง ๆ มากมาย จนเข้านมัสการพระนอนจักรสีห์ ที่วันนี้เราโชคไม่ดีสักเท่าไหร่ที่องค์พระกำลังอยู่ในช่วงซ่อมแซมบูรณะ แต่สิ่งหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจไม่แพ้องค์พระเลย นั่นคือ พิพิธภัณฑ์ (เรียกเองซะงั้น) ที่ถูกวางประดับไว้รอบ ๆ องค์พระ ไม่ว่าจะเป็นตู้ โต๊ะ เครื่องเคลือบ ธนบัตรเก่า พระพุทธรูปทรงเครื่องสมัยต่าง ๆ และพระพุทธรูปอื่น ๆ
แต่สิ่งที่สะดุดตาและไม่คิดว่าจะมาพบในวันนี้ถูกดองน้ำมันอยู่ในขวดแก้วและเก็บไว้ในตู้กระจกอีกทีหนึ่ง จำไม่ผิด มันคือ "นารีผล หรือ มักกะลีผล" ที่เคยเป็นข่าวครึกโครมตามหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อนานมาแล้ว เดินสำรวจรอบ ๆ ตู้กระจก ด่อม ๆ มอง ๆ อยู่นานไม่ยักกะมีใครสนใจเจ้าของในตู้นี้เหมือนที่เราสนใจ ควักกล้องออกมาถ่ายภาพเก็บไว้

ด้านข้างกันมีป้ายบรรยายเกี่ยวกับ นารีผล หรือ มักกะลีผลไว้ดังนี้

นารีผล หรือ มักกะลีผลเป็นพืชวิเศษชนิดหนึ่ง ปลูกอยู่ในป่าหิมพานต์ ว่ากันว่านารีผล ขั่วลูกอยู่ด้านบนศรีษา มีรูปร่างเป็นหญิง ผลสดรูปร่างสะโอดสะองสมส่วน ผิวพรรณงดงาม ปานเทพธิดา ว่ากันว่า บางครั้งฤาษีที่บำเพ็ญเพียรจนตะกล้า กิเลศสงบ เพื่อทดสอบจิตตน ก็จะเหาะไปที่ต้นนารีผล มองดูนารีผล ว่าตนจะตบะแตกหรือไม่ หรือบางครั้งฤาษีผู้เป็นอาจารย์อาจจะพาลูกศิษย์ไปทดสอบระดับจิต ไปฝึกควบคุมจิต ที่นั่น ก็มี และว่ากันว่า พวกนักสิทธิ์วิทยาธรมักจะเหาะไปเก็บนารีผล อุ้มมาเชียชมแล้วฝึกจิตใหม่ ค่อยเหาะกลับออกมา นารีผล เป็นที่ต้องการของสัตว์วิเศษ (คนธรรพ์เป็นต้น) รวมถึงวิทยาธรทั้งหลาย ผู้ยังไม่หมดกามราคะ ดังนั้น การที่นารีผลจะเหี่ยวแห่งคาต้นแล้วร่วงหล่นนั้นเป็นไปได้ยาก ก่อนจะโรยรา จะมีเทวดา สัตว์วิเศษ และวิทยาธร เป็นต้น มาเก็บเอาไป

"มักกะลีผล" มีขนาดสัดส่วนเท่ากับหญิงสาวอายุ ๑๖ ปี ใบหน้ารูปไข่ มีเส้นผมยาวสยายเป็นสีทองเหมือนผู้หญิงฝรั่ง ตรงกลางกระหม่อมมีลักษณะเหมือนขั่วผลไม้เทียบได้กับมังคุด นัยน์ตาใหญ่ได้รูป ส่วนที่เป็นนัยน์ตาดำมีประกายระยิบระยับ คล้ายเจือเกร็ดทอง นัยน์ตาขาวเป็นสีฟ้าใส จมูกโด่งรับกับปาก ช่วงลำคอเป็นปล้อง ๓ ปล้อง ไม่มีไหปลาร้า ดูอิ่มเต็มเนียนไปหมด ผิวพรรณหรือผัวหนังตึงเต่งเหมือนผิวมะปรางสุก นิ้วมือเรียวลงไปเหมือนนิ้วมนุษย์ แต่ปลายนิ้วทั้ง ๔ ยาวเสมอกัน เว้นหัวแม่มือ หลังมือก็อิ่มเต็มเกลี้ยงเกลา ข้อมือข้อเท่ากลมกลึง ไม่มีปุ่มกระดูกเหมือนคนทั่วไป และกลิ่นหอมที่อวบตลบอยู่ในถ้ำ แท้จริงเป็นกลิ่นดอกไม้ที่ระเหยมาจากมักกะลีผลนี้เอง
หลวงพ่อจรัญ ได้เก็บรักษามักกะลีผลนี้ไว้เงียบ ๆ ขณะเดียวกันก็ได้เห็นความเปลียนแปลงของมักกะลีผลตามกฏอนิจจังเป็นลำดับ ธรรมชาติของมักกะลีผลเป็นพืช แม้จะอุบัติขึ้นด้วยความมหัศจรรย์เหนือโลก ก็ไม่อาจหนีพ้นความเสื่อมไปได้ คราวแรกที่หลวงพ่อจรัญได้รับมักกะลีผลทั้งสองผลมานั้น ยังมีขนาดใหญ่พอควร ต่อมาค่อย ๆ แห้งเฉาลดขนาดลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั้งเหลือความสูงประมาณ ๑๐ นิ้วฟุต และเมื่อแห้งเฉาถึงที่สุดแล้ว ก็เหลือเพียงรูปถ่ายซึ่งได้บันทึกไว้เท่านั้น
สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินิเวสายะ
สรรพสิ่ง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
อ่านจบแล้วให้นึกงงงวย ตกลงเจ้ามักกะลีผลสามโหลดองนี้เป็นของหลวงพ่อจรัญ จริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่ แต่โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าคงไม่ใช่ เพราะในป้ายนั้นก็บอกแล้วว่า "มักกะลีผลของหลวงพ่อจรัญ" นั้นเสื่อมสลายเหลือไว้เพียงแต่รูปถ่ายเท่านั้น แต่ไอ้สามตัวนี้มาได้อย่างไร ไม่ยักกะมีใครรู้ หรือบอกบรรยายเอาไว้
คำตอบนี้มีผู้ตอบว่า เรื่องนี้ น่าจะเป็น อจินไตย
เลยมีผู้ถามว่า อจินไตยคือะไรคะ
อ้างอิงจาก http://www.oknation.net/blog/winsstars/2010/02/26/entry-1
ต่อไปนี้ คือเรื่องราวที่เป็นข่าวบนหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อปี พศ. 2545
๑๖ สิงหาคม ๒๕๔๕ พระดังยันฝีมือมนุษย์มักกะลีผลเก๊ หลวงพ่อ ท้า นักวิชาการพิสูจน ์ "มักกะลีผล" ได ้เลยของจริงหรือปลอม ขณะที่พระภิกษุเมืองกรุง บอก มีไว ้ครอบครองถึง 3 ผล เหมือนกับเดลินิวส ์ลง มีทั้งลูกศิษย์ถวายให ้และซื้อเอง แฉ เอาไปให้ ้ช่างไม ้แกะสลักดู เผย เป็นฝีมือมนุษย์ ์ไม่ใช่เกิดตามธรรมชาติ หาไม้มาแกะเป็นแบบ แช่ ่น้ำมันกลิ่นหอม ก่อนอบให ้แห้ง หรือเอาเถาวัลย์มาอัดกันให ้เแน่นในบล็อกรูปผู้หญิง ทำให ้ร้อน จะได้ ้เถาวัลย์ ์แห้งเหียวย่น หาซื้อได ้ย่านท่าพระจันทร ์ นอกจากนี้พวกผลฟัก น้ำเต้า ยังทำเป็นรูปพระพุทธรูปหรือเจ้าแม่กวนอิมได้เลย แค่เอาบล็อกที่ต้องการครอบผลไม้ที่ออกยังเล็ก ๆ รอจนโตขึ้น แค่นี้ก็ได้ ้แบบที่ต้องการ
เกี่ยวกับเรื่องของไม ้ผล "มักกะลีผล" หรือ "นารีผล" ในวรรณคดีที่มีผลคล้ายรูปผู้หญิง ที่หลวงพ่อสำเภา ฐานะจาโร เจ ้าอาวาสวัดเขาใหญ ่อรุณบุณยราษฎร ์ ต.หนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ ์ ครอบครองอยู่ โดยบอกว่าลูกศิษย ์ชาวกะเหรี่ยงนำมาถวายให ้เมื่อต้น ้เดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา จากนั้นมีประชาชนที่ทราบข่าวต่างพากันเดินทางมาขอดูกันเป็นจำนวนมาก บางรายก็กราบไหว้ขอโชคขอลาภตามความเชื่อนั้น ต่อมาวันที่ 14 ส.ค. ที่วัดเขาใหญ่ฯ ในวันนี้มีประชาชนทั่วสารทิศเดินทางมาชม "มักกะลีผล" กันมากกว่าปกติ บางคนนำยาทาเล็บ ถุงเงินถุงทองมาวางให ้ นอกจากนี้ด้านหลังโบสถ ์มีพ่อค้าแม่ ่ค้านำเครื่องดื่มและมะพร้าวอ่อนมาตั้งวาง ทำให ้ขายดีจนหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว

หลวงพ่อสำเภา เจ้าอาวาสวัดเขาใหญ ่ฯ กล่าวว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีนักวิชาการคนไหนมาติดต่อขอดูเลย หากอยากพิสูจน ์ก็ยินดี เพราะ "มักกะลีผล" อาตมาได ้มาจากลูกศิษย ์ไม่ได ้เสียเงินซื้อ และเชื่อว่าเป็นของจริงที่เกิดตามธรรมชาติ

นายจิระ พงษ ์ไพบูลย ์ นายกเทศมนตรี ต.หัวหิน เปิดเผยว ่า ตนจะพาคณะสมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) มาชมดู เพราะเป็นของแปลกไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งอาจจะหาตู้ใส ่มักกะลีผลใบใหม ่ให ้ เพื่อให้ ้สวยกว่าของเก่าและใหญ่กว่าเดิม
วันเดียวกัน ที่สำนักงานใหญ ่เดลินิวส ์ ถนนวิภาวดีรังสิต พระอาจารย ์เกษมสุข เขมสุโข พระลูกวัดประดู่ธรรมาธิป'ตย ์ โทรศัพท ์แจ ้งว ่า อาตมาก็มี "มักกะลีผล" เหมือนที่ลงในหนังสือพิมพ ์เช ่นกัน ต่อมาผู้สื่อข่าวจึงไปตรวจสอบ วัดดังกล่าวอยู่ถนนประชาสายราษฎร ์สาย 1 แขวง-เขตบางซื่อ ภายในกุฎิ 7 พบพระอาจารย ์เกษมสุข นั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว พร้อมกับให ้สัมภาษณ์ว่า... อาตมาเองมีผล "มักกะลีผล" อยู่ 3 ผล จากนั้นเดินเข้าไปในห้องหยิบเอาไม ้ผลที่บอกไว้ออกมาให ้ผู้สื่อข่าวดู ซึ่ง 2 ผลแรกมีลักษณะแห้งย่น รูปร่างคล้ายผู ้หญิง เห็นอวัยวะชัดเจน มือแนบชิดลำตัว ขาชิดกัน ผิวเนื้อน้ำตาล สูง 8 นิ้ว มีขั้วหรือกิ่งก้านที่หัวตัวหนึ่ง อีกตัวไม่มี ส ่วนอีกตัวลักษณะคล้ายกัน ลำตัวโค้งงอเล็กน้อย สูง 6 นิ้ว ผิวน้ำตาลจางกว่า 2 ตัวแรก

พระอาจารย ์เกษมสุขกล่าวต่ออีกว่า ใน 3 ตัว ตัวที่ไม่มีขั้วบนหัวอาตมาซื้อมาในราคา 900 บาท โดยมีชายหญิงคู่หนึ่งมาขายให ้ถึงกุฎิเมื่อ 2 ปีก่อน บอกว่าเป็นของมรดกตกทอดมาตั้งแต่ ปู ่ ย ่า ตา ยาย ครั้งแรกยังมีขั้วบนหัวเหมือนอีก 2 ผล แต่ด ้วยความสงสัยเลยลองดึงออกดู เห็นข ้างในเป็นรูกลวงคล้ายใช ้สว่านเจาะเอาไว ้ จึงเชื่อว่าไม่ ่น่าเป็นเนื้อชิ้นเดียวกัน ต่อมามีลูกศิษย์นำมาถวายให ้อีก 2 ตัวบอกมีคนมาขายให ้ 3,000 บาท เห็นว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์จึงสมควรอยู่กับผู้ทรงศีล จากนั้นอาตมาเอาไม้ที่เรียกว ่า "มักกะลีผล" ทั้งหมดไปให ้ผู้เชี่ยวชาญของกรมป่าไม ้คนหนึ่งช่วยตรวจสอบ ก็ไม่สามารถให้ ้คำตอบได้ว่าเป็นไม ้ชนิดใด เพราะในประเทศไทยมีไม ้หลายพันชนิดหลายประเภท ต่อมาเอาไปให้ช ่างแกะสลักไม้ดู ก็ได ้คำตอบว่า ไม่ ่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นฝีมือของมนุษย ์ "เอาไม้มาแกะสลักเป็นแบบ แล ้วนำไปแช่น้ำมัน ที่มีกลิ่นหอมก่อนนำไปอบอีกครั้งหนึ่ง หรืออีกวิธีหนึ่งคือนำเถาวัลย์สดที่เรียกว่าอวบน้ำ มาอัดลงในแบบที่ทำขึ้นมาเป็นรูปผู้หญิง นำไปอบทำให ้ร้อน ซึ่งจะทำให้ ้เถาวัลย์แห ้งและเหี่ยวย่น เคยเห็นแผงเช่าพระแถวท่าพระจันทร ์วางขายอยู่ตัวละ 900 บาท

มีลูกศิษย ์อาตมาคนหนึ่งอยู่ทางภาคเหนือ เอาวิธีตบตาประชาชนคล้ายกันว่า ทำแบบที่แกะจากไม้เป็นรูปพระพุทธรูป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาทิ เจ้าแม ่กวนอิม ไปสวมครอบกับผลน้ำเต้า ผลฟัก หรือบวบ ที่ออกลูกยังเล็ก ๆ อยู่ จากนั้นรอให ้ผลเหล่านั้นโตขึ้น จึงแกะแบบไม ้ออกผลก็จะโตตามแบบ แม้ว่าจะไม ่เหมือนทว่าดูเป็นธรรมชาติ ก่อนเอาไปหลอกขายให ้คนที่ชอบพวกสิ่งแปลกประหลาด ในราคาตั้ง แต่ 200,000 บาทขึ้นไป อาตมาไม่อยากให ้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของแก๊งต้มตุ๋น รูปที่เดลินิวส์ลงเหมือนกับของที่อาตมามีเลย" สำหรับพระอาจารย ์เกษมสุขนั้น เป็นนักเขียนบทความเกี่ยวกับธรรมะในนิตยสารพุทธคุณ โลกทิพย ์ และยังเป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับหน้าพระเครื่อง ของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งอีกด ้วย ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวไปสังเกตุการณ์ย่านท่าพระจันทร ์ ปรากฎว่า ตามแผงเช่าพระต่าง ๆ ไม่พบ "มักกะลีผล" แต ่อย่างใด สอบถามเจ้าของแผงเช่าพระคนหนึ่งบอกว ่า เมื่อก่อนเคยเห็นมีมาวางขายเช่น ่กัน ในราคา 4,000 บาท ทว่าระยะหลังไม่เห็นมาวางขายอีก ถ้าจะซื้อต้องสอบถามจากคนในวงการเท่านั้น
คนเอาบล๊อคใส่แบบนี้นะคับน้ำเต้า ก็มีคนเคยทำ
ต่อไปนี้เป็นเรื่อ อจินไตย โดยละเอียด และส่วนที่เกี่ยวข้อง
ถาม ๑. สิ่งที่เป็นอจินไตย นี่เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ได้ ไม่ใช่วิสัยของปุถุชนคนธรรมดาหรือพระอรหันต์ธรรมดาจะรู้ได้ใช่ไหม
ตอบ สิ่งที่เป็นอจินไตยนั้นมี ๔ อย่าง คือ
๑. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้า
๒. ฌานวิสัย วิสัยของผู้ได้ฌาน
๓. กัมมวิบาก ผลจากกรรม
๔. โลกจินดา ความคิดเรื่องโลก
ทั้ง ๔ อย่างนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าไม่ควรคิดผู้ที่คิดจะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ได้รับความลำบากโดยเปล่าประโยชน์
ในอจินไตย ๔ อย่างนี้ อย่างแรกคือ พุทธวิสัย คือวิสัยของพระพุทธเจ้านั้น ผู้ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าคิดอย่างไร ก็เข้าไปไม่ถึงวิสัยของพระพุทธเจ้า มีอานุภาพของพระพุทธคุณและพระสัพพัญญุตญาณเป็นต้น
อย่างที่ ๒ ฌานวิสัย วิสัยของผู้ที่ได้ฌานอภิญญา ผู้ที่ไม่ได้ฌานคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่า ทำไมผู้ที่ได้ฌานอภิญญาจึงสามารถแสดงฤทธิ์ต่างๆ มีเหาะได้ หายตัวได้ ดำดินได้ เป็นต้น ผู้ที่ได้อภิญญาประเภทนั้นๆ เท่านั้นจึงจะรู้ได้
อย่างที่ ๓ กัมมวิบาก ผลของกรรม คือคนธรรมดาๆ ย่อมไม่อาจรู้ว่า ผลของกรรมที่ตนได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้มาจากกรรมอะไร ทำไว้แต่เมื่อใด คิดไปเท่าไรก็คิดไม่ออก คิดมากไปจะเป็นบ้าไปเสียเปล่าๆ ผู้ที่รู้ผลของกรรมได้อย่างถ่องแท้ต้องเป็นผู้ที่ระลึกชาติก่อนๆ นับย้อนหลังไปได้โดยไม่จำกัดอย่างพระพุทธเจ้า จึงสามารถจะทราบได้ถูกต้องแท้จริงไม่ผิดพลาด ท่านที่ระลึกชาติได้จำกัด เช่นระลึกได้ ๕๐๐ ชาติ แต่กรรมที่ทำไว้ ทำไว้เมื่อชาติที่ ๕๕๐ ผู้ที่ระลึกชาติได้ ๕๐๐ ชาติก็ไม่สามารถระลึกได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถจะรู้กรรมและผลของกรรมได้ถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะพระองค์ทรงมีบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ที่ระลึกชาติย้อนหลังได้โดยไม่จำกัด มียถากัมมูปคญาณ ญาณที่เข้าถึงกรรมของสัตว์ตามความเป็นจริง พระพระสัพพัญญุตญาณ ญาณที่ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นไม่มี ทั้งยังมีพระอนาวรณญาณ ญาณที่ไม่มีอะไรมาปิดกั้น ที่คนอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่มี เพราะฉะนั้น ป่วยการคิดเรื่องผลของกรรมว่ามาจากกรรมไหน เมื่อใด เป็นต้น คิดมากไป อาจเป็นบ้าได้
อย่างที่ ๔ โลกจินดา ความคิดเกี่ยวกับเรื่องโลก เช่นคิดว่าใครสร้างพระจันทร์-พระอาทิตย์ ใครสร้างภูเขา ต้นไม้ เป็นต้น คิดมากไปไร้ประโยชน์เพราะไม่อาจจะรู้ได้
ด้วยเหตุนี้ อจินไตยทั้ง ๔ อย่างนี้ บางท่านอาจจะคิดว่าตนเองคิดแล้วรู้ได้ ซึ่งก็รู้ได้เพียงวิสัยของตนเท่านั้น พระอรหันต์ก็รู้เท่าวิสัยของพระอรหันต์ จะรู้เท่าความรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ท่านจึงเตือนว่า สิ่งทั้ง ๔ นี้ไม่ควรคิด คิดไปอาจเป็นบ้า ลำบากโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งนี้เพราะท่านเหล่านั้นไม่ได้สั่งสมสติปัญญาบารมีความรู้มาเสมอด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องอบรมมาอย่างน้อยถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ทีเดียว
ถาม ๒. ถามว่า พระปัจเจกพุทธเจ้ารู้ในสิ่งที่เรียกว่า “อจินไตย” หรือเปล่า
ตอบ ขอเรียนว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าก็รู้ในสิ่งที่เรียกว่าอจินไตย ตามวิสัยของพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่อาจรู้ไปถึงวิสัยของพระพุทธเจ้าได้ เพราะท่านมิได้ญาณ โดยเฉพาะพระสัพพัญญุตญานอย่างพระพุทธเจ้านั่นเอง
ถาม ๓. ถามว่า พรหมชั้นสุทธาวาสอายุนานกว่าพรหมชั้นอื่น มีโอกาสที่จะค้นคว้าศึกษาในเรื่องที่เป็นอจินไตยจนรู้ได้หรือเปล่า
ตอบ ปัญหานี้ขอเรียนว่า ผู้ที่จะเกิดเป็นพรหมในชั้นสุทธาวาสได้นั้น จะต้องเป็นพระอนาคามีได้ปัญจมฌาน เมื่อตายลงจึงเกิดเป็นพรหมอนาคามีในชั้นสุทธาวาสชั้นใดชั้นหนึ่งใน ๕ ชั้นได้ และสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในสุทธาวาสนั้นเอง ไม่กลับไปเกิดในภพภูมิใดๆ ที่ต่ำกว่าอีกเลย เพราะฉะนั้น พรหมชั้นนี้จึงเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งแน่นอน ความรู้ของสาวกย่อมไม่อาจเทียบกับความรู้ของพระพุทธเจ้าแน่ ถ้าท่านจะรู้เรื่องราวของอจินไตย ท่านก็รู้ได้ตามวิสัยของท่านเท่านั้น ไม่เกินวิสัยของท่านไปได้
ถาม ๔. ถามว่า ความรู้ของพรหมชั้นสุทธาวาสจะมากกว่าพระอรหันต์หรือไม่ เพราะอายุยืนมากจริงๆ พบพระพุทธเจ้ามาหลายองค์ เวลาผมทำบุญให้แม่ผม ผมอธิษฐานให้แม่ผมไปปฏิสนธิในพรหมชั้นสุทธาวาส เพราะผมไม่รู้ว่าแม่ผมยังมีเรื่องค้างใจที่ยังไม่ได้ทำค้างไว้หรือไม่ พรหมชั้นนี้อายุยืนมีเวลาทำอะไรๆ ได้อีกมาก
ตอบ ในเรื่องนี้ขอเรียนว่า ความต้องการของคุณเป็นโมฆะ เพราะถ้าแม่ของคุณมิได้เป็นพระอนาคามีผู้ได้ปัญจมฌานในชาตินี้แล้ว ย่อมไม่มีโอกาสเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาสได้เลย
อีกประการหนึ่ง การบังเกิดขึ้นในภพภูมิต่างๆ ของบุคคลใดๆ ย่อมเป็นด้วยกรรมของบุคคลนั้นๆ หาได้บังเกิดขึ้นเพราะการอธิษฐานของใครๆ คนใดคนหนึ่งไม่ เพราะฉะนั้นความต้องการของคุณจึงเป็นโมฆะ คือไม่มีทางเป็นไปได้เลย
________________________________________
ที่มา อ้างอิง http://www.84000.org/tipitaka/book/nana.phpq=25
หมายเหตุ จากผู้เรียบเรียง
อ่านจบแล้ว คงคิดได้ว่าจะเชื่อข่าวตามที่ยกมาจั่วหัวนั้นหรือไม่