ภาพสมอง มีเนื้อสมองสองซีก รอยหยักคือที่เก็บความจำ หยักมากเก็บได้มาก
โมสาร์ทเพิ่มไอคิวให้คุณได้อย่างไร
นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อกันแล้วว่า การฟังดนตรีบางชนิด สามารถทำให้ เราฉลาดขึ้นได้ นักฟิสิกส์ได้ทำการศึกษาปฏิกิริยาตอบโต้ ของสมองระหว่าง ทำงานที่ให้เหตุผลทางนามธรรม และพบรูปแบบของปฏิกิริยาที่คล้ายกับดนตรี เขาทดลองต่อไปว่าหาก จัดการฝึกฝน ด้านดนตรี เขาทดลองต่อไปว่า หากจัดการ ฝึกฝนด้านดนตรีแก่เด็ก ๆ จะปรับปรุง ทักษะ
Wolfgang Amadeus Mozart เป็นนักดนตรีเอกของโลก เชื่อว่าเพลงที่เขาแต่งสามารถเรียงแม่เหล็กสมองมนุษย์ใหม่ได้
การให้เหตุผลของพวกเขา ได้หรือเปล่า ผลเบื้องต้นออกมาทางบวก คือหลังจาก 3 เดือน 6 เดือน 9 เดือน ของการเล่าเรียน ทักษะ การให้เหตุผล ของเด็กพัฒนาขึ้นมาก จากผลที่ได้นี้ นักวิจัยตัดสินใจ วิเคราะห์ว่า จะเกิดอะไรขึ้น กับผู้ใหญ่เมื่อได้ฟังดนตรี นักวิจัยขอให้อาสาสมัคร ฟังบทเพลง 2 ชิ้น คือโซนาต้าบรรเลงเปียโนของโมสาร์ท และเทปเพลงฟังสบาย ๆ สร้างบรรยากาศอีกม้วน กับให้นั่งอยู่ในความเงียบ จากนั้นให้ อาสาสมัคร ทำแบบทดสอบการ ให้เหตุผล ผลที่ได้ระบุว่าเพลงของโมสาร์ท ช่วยให้พวกเขา คิดถูก ต้องและรวดเร็วขึ้น และการทดสอบอีกหลายชิ้นที่แสดง ให้เห็นว่าเพลงของโมสาร์ทมีผลกระทบที่ดีที่สุด ต่อทักษะการให้เหตุผล โดยนักวิทยาศาสตร์อ้างว่าเราเกิดมาพร้อม รูปแบบของ ธรรมชาติ บางอย่างในสมองของเราที่สามารถรู้สึกตื่นเต้นได้ และเมื่อเราได้ฟัง ดนตรีของโมสาร์ท ทำให้เราพอใจ เพราะรูปแบบธรรมชาตินั้นรู้สึกตื่นเต้นอย ู่ในสมองของเราเมื่อเรา ได้ฟังดนตรีของเขา ป้อนจินตนาการให้โลดแล่น
VIDEO
เชิญฟังเพลง sonata ของ Mozart เป็นหนึ่งเพลงที่ใช้ทดลอง
VIDEO
เพลงนี้ชื่อ Andante ของ Mozart เช่นกัน ส่วนตัวผม (ผู้เขียนบทความ)ชอบเพลงนี้มากกว่า
น้ำนมแม่มีผลต่อสมอง
น้ำนมของมนุษย์ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของสมองทารก ส่วนน้ำนมวัวที่อุดม ด้วยโปรตีน มีไว้สำหรับร่างกาย และเต็มไปด้วยไขมันอิ่มตัว ที่มีแต่จะทำให้น่องเรา ใหญ่และ แข็งแรง ตรงข้ามกับน้ำนมมนุษย์ ที่แม้จะมีโปรตีน และไขมันอิ่มตัวน้อยกว่า แต่ก็มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวจำนวนมาก และกรดไขมันเหล่านี้บางตัวเมื่อรวมกับสารอื่น ๆ ที่เรียกว่า cerebroside สำหรับสร้างเนื้อเยื่อ ของประสาทและสมอง ซึ่งร่างกายมนุษย์ต้องการ เพราะสมองของมนุษย์เติบโตต่อเนื่องตลอด 3 ปี หลังคลอด ขณะที่สมองของวัวแทบจะไม่เปลี่ยนแปลง พูดสั้น ๆ ก็คือว่าน้ำนมมนุษย์สร้าง สมองให้ใหญ่ แต่น้ำนมวัวทำให้ร่างกายใหญ่เท่านั้น บางคนก็บอกว่าลูกกินนมวัว นิสัยใจคอมันจึงไม่เหมือนคน
เกร็ดความรู้ว่าด้วยสมอง
จากการวิจัยพบว่าผู้ที่มีการศึกษาสูง หรือผู้ที่ลับสมองประลอง ปัญญา ตัวเองบ่อย ๆ จะอายุยืนกว่าผู้ด้อยการศึกษา
ในเวลาแค่ 1 นาที สมองสามารถรับความคิดได้หลายอย่าง ขณะที่เมื่อ เทียบกันแล้ว ความสามารถนั้นต้อง อาศัยซูเปอร์ คอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่ยักษ์ ความสามารถเลิศล้นที่คงอีก 100 ปี จึงผลิตสำเร็จ ยินดีด้วยจ้า จากการศึกษาทางเคมีของสมองเมื่อเร็ว ๆ นี้โดยใช้เครื่องสแกนสมอง ศึกษาผู้ร่วมทดลองอายุตั้งแต่ 21-83 ปี พบว่าสมองของคนชรา ที่มีสุขภาพดี ยังคึกคัก และมีประสิทธิภาพเท่ากับ สมองของคนหนุ่ม ที่มีสุขภาพดี ผลทดลองประเมินจาก การทำงานของการเปลี่ยนแปลง เซลล์สมองโดยตรง จากการวิจัยอีกนั่นแหละ พบว่าการที่จะทำจิตใจให้เข้มแข็งได้นั้น เราต้องกระตือรือร้นพาตัวเข้าสู่สถานการณ์ที่ไม่คุ้นชิน หรือทำอะไร ก็แล้วแต่ ที่ท้าทายสติปัญญา จะสามารถกระตุ้นให้สมองเติบโตได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม ทายปัญหา เริ่มเรียนเล่นดนตรีสักชิ้น ซ่อมอะไร สักอย่าง ลองทำงานศิลปะ เต้นรำ ลองลงแข่งเล่นกีฬา หรือแข่ง เล่นเรือใบ และควรจำว่านักวิจัยต่างเห็นพ้องกัน ว่าไม่มีคำว่า สายเกิน ไป ตลอดชีวิตเรา น่าจะเป็นการเรียนรู้ หาประสบการณ์เพราะ เรากำลัง ท้าทายสมองของตัวเอง และผลที่ได้คือเพิ่ม รอยหยักให้สมองนั่นเอง
กระตุ้นสมองแบบง่ายๆ เพื่อให้ "ฉลาดเลิศ
ฝึกสมอง ลองปัญญา ฟังเพลงคลาสิก
โดยเฉพาะเพลงของโมสาร์ท เฮย์เดน บาค บีโธเฟ่น มาห์เลอร์ และสตราวินสกี้นึกฝันถึงเรื่องท้าทายแปลกใหม่
ที่เป็นจริงได้ แต่เป็นเป้าหมายที่สูงสักหน่อย สำหรับตัวเอง อาจจะเกี่ยวกับงาน อดิเรกใหม่ ๆ หรืออาชีพใหม่ หรือหาความรู้ใหม่ ๆ ใส่ตัว และฝึกเล่นกีฬาที่ไม่เคยเล่น ลองเรียนเต้นรำ เรียนภาษาอีกสักภาษา หรือจะเรียนระบายสีน้ำ หรืออะไรก็ได้ที่ คุณชอบ สำคัญอยู่ที่ต้องกระตุ้นสมองคุณอย่างสร้างสรรค์ ฝึกบริหารจิตใจ เช่น เล่นหมากรุก ไพ่ นกกระจอก เกมรูบิก หรือไพ่ เพราะช่วยฝึกสมองของคุณ ให้แก้ปัญหา เล่นเกมใบ้คำ หรือเล่นเกมอักษรไขว้ทุกวันในหนังสือพิมพ์ กระตุ้นสมองด้วยวิธีใหม่ ๆ เริ่มด้วยการตั้งสติพยายามจดจำชื่อของคนที่คุณเพิ่งรู้จัก พยายามเชื่อมรูปร่าง หน้าตาของเขากับชื่อให้ได้ หรือหาจุดเด่นและส่วนที่จำง่ายของเขาไว้สัก อย่างเพื่อช่วยให้คุณนึกชื่อเขาออก
อาหารสมองกับการออกกำลังเสริมคุณภาพ
ดื่มน้ำ 8 แก้วทุกวัน ส่วนกาแฟและดื่มชาสักหน่อยก็พอจะได้แต่ควรเลี่ยงน้ำตาล กินเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน โดยเฉพาะเครื่องใน เช่นตับและไต เพราะให้สารอาหาร พวกโปรตีน คาร์โบไฮ เดรท แร่ธาตุเหลว วิตามันและกรดไขมันบางชนิดที่จำเป็น ต่อการฟื้นฟูสภาพของเซลล์ และการหมุนเวียนแร่ธาตุ
ถ้ากินมังสวิรัติก็ให้กินถั่ว เมล็ดข้าวไม่ขัดขาว (ข้าวซ้อมมือ) และใบผักให้มาก ๆ เพราะอาหารเหล่านี้อุดม ด้วยกรดไขมันที่สำคัญมากมาย กินเนื้อปลา รวมทั้งเนื้อ ปลาติดมัน เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ซึ่งอุดมด้วยกรดไขมันที่ร่างกาย ต้องการ กินผักให้หลากหลาย เพราะเป็นแหล่งอุดมด้วยวิตามินหลายชนิด รวมทั้งมีไฟเบอร์ และกรมไขมันที่
สำคัญมาก กินไขมันอิ่มตัวให้น้อยเข้าไว้ แม้จะมีวิตามิน ให้คุณค่าและ ความเอร็ดอร่อยก็ตาม แต่หน้าที่หลักของไขมันอิ่มตัว คือพลังงานสำหรับร่างกายล้วน ๆ เลี่ยงน้ำตาลและ อาหารสำเร็จรูป แม้ว่าร่างกายเราจะใช้น้ำตาล (กลูโคส) เป็นพลังงาน แต่ก็ชอบ ผลิตเอาเองจากอาหารที่เรากินเข้าไปมากกว่า ซึ่งช่วยรักษาระดับน้ำตาล ในเลือด ที่เหมาะสมไว้ด้วย
หลีกเลี่ยงอาหารไขมันอิ่มตัว นอกจากทำให้อ้วน และมีผลเสียต่อหัวใจแล้ว ยังมีผลเสียต่อสมองอีกด้วยการใส่น้ำตาลเพิ่มมากเกินไปในอาหารจะทำลายกลไกนี้ ออกกำลังสม่ำเสมออย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ประมาณครั้งละ 10-30 นาที ถ้าเบื่อเข้ายิม ก็ลองเดินเร็ว จ็อกกิ้ง เต้นรำ ขี่จักรยาน หรือว่ายน้ำแทน สมัคร ชมรมว่ายน้ำ หรือชมรมเทนนิส หรือจะเป็น สมาชิกศูนย์กีฬาก็ได้ เพราะการโต ้ตอบสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ แบบทันทีทันใด ช่วยกระตุ้นสมองได้ดี สังเกตความสัมพันธ์ ระหว่างอาหารที่คุณกินกับการทำงาน ของสมองว่าเป็นอย่างไร กินอาหารเช้าเป็น ประจำและเลี่ยงงานสังสรรค์ ที่มีของมึนเมาด้วย
การนั่งสมาธิ หากเป็นถึงขั้นสูงสุดก็จะได้ญาณ เช่นอตีคตานญาณ สามารถเรียกความจำผ่านภพชาติหนหลังได้ ผู้มีญาณแก่กล้าสามารถระลึกชาติได้หลายภพชาติ หรือไม่จำกัด ใครที่ทำวิปัสนากรรมฐานคงเข้าใจดี
คนที่ทำสมาธิจะมีพัฒนาการของขนาดสมองใหญ่กว่าคนที่ไม่ได้ทำสมาธิ นักวิจัยของฮาร์ดวาร์ด เยล และสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซตส์ได้พบหลักฐานแรกที่บอกว่าการทำสมาธิสามารถเปลี่ยนโครงสร้างทางกายภาพของสมองเราได้ จากการสแกนสมองพบว่านักสมาธิที่มีประสบการณ์ได้มีความหนาที่เพิ่มขึ้นในหลายส่วนของสมองที่จัดการกับความตั้งใจและการประมวลผลด้านการรับความรู้สึก
อ่านต่อได้จาก
http://www.sciencene...brainsize.shtml
สมองคือส่วนสำคัญที่สุดของคนในการคิด ฝึกหัด กลั่นกรองข้อมูลข่าวสารเรื่องราวต่างๆ หากสมองขาดการคิดและการกระตุ้น ก็ไม่ต่างอะไรกับซอมบี้ และหากขาดการใช้งานบ่อยๆ เซลล์ต่างๆ ที่สำคัญที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความสามารถ ประสิทธิภาพด้านต่างๆ ก็จะดูด่อยค่าลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น คนเราจึงจำเป็นต้องบริหารสมองอยู่เสมอ การฝึกสมองมีหลายเทคนิคให้เลือกใช้ แต่จงใช้อย่างมีประสิทธิภาพให้มากที่สุด วันนี้จะมาเขียนเรื่องราวของ ทำอย่างไรให้สมองเราสามารถใช้งานได้ดี และมีเทคนิคการฝึกสมองอย่างไร ให้เราเป็นคนฉลาดอยู่เสมอ
1. จิบน้ำบ่อยๆ (Drink water very often) สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมอง ก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ
2. กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3) คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day) หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการ เห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
4. ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5.หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ (Laugh and Smile) ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อย ๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday) สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things in life every day) ฝึก เขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มี ครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
การนั่งสมาธิ ให้กำหนดลมหายใจเข้าออก
หายใจลึก ๆ ไปถึงที่ตรงจุดสะดือเหนือสะดือขึ้นมานิดนึง
แล้วค้างไว้ที่นั่นแป๊บนึง นับ 1 2 3 ค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆช้าๆู้
9. ฝึกหายใจลึกๆ (Deep breath) สมองใช้ออกซิเจน 20 .25% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 % การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่ เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม
สมอง (อังกฤษ: Brain) คืออวัยวะสำคัญในสัตว์หลายชนิดตามลักษณะทางกายวิภาค หรือที่เรียกว่า encephalon จัดว่าเป็น
ส่วนกลางของระบบประสาท คำว่า สมอง นั้นส่วนใหญ่จะเรียกระบบประสาทบริเวณหัวของสัตว์มีกระดูกสันหลัง คำนี้บางทีก็ใช้เรียกอวัยวะในระบบประสาทบริเวณหัวของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอีกด้วยสมองมีหน้าที่ควบคุมและสั่งการการเคลื่อนไหว, พฤติกรรม และรักษาสมดุลภายในร่างกาย (homeostasis) เช่น การเต้นของหัวใจ, ความดันโลหิต, สมดุลของเหลวในร่างกาย และอุณหภูมิ เป็นต้น หน้าที่ของสมองยังมีเกี่ยวข้องกับการรู้ (cognition) อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหว (motor learning) และความสามารถอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้
สมองประกอบด้วยเซลล์สองชนิด คือ เซลล์ประสาท และเซลล์เกลีย เกลียมีหน้าที่ในการดูแลและปกป้องนิวรอน นิวรอนหรือเซลล์ประสาทเป็นเซลล์หลักที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูลในรูปแบบของสัญญาณไฟฟ้าที่เรียกว่า ศักยงาน (action potential) การติดต่อระหว่างนิวรอนนั้นเกิดขึ้นได้โดยการหลั่งของสารเคมีชนิดต่าง ๆ ที่รวมเรียกว่า สารสื่อประสาท (neurotransmitter) ข้ามบริเวณระหว่างนิวรอนสองตัวที่เรียกว่า ไซแนปส์ สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น แมลงต่าง ๆ ก็มีนิวรอนอยู่นับล้านในสมอง สัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่มักจะมีนิวรอนมากกว่าหนึ่งร้อยล้านตัวในสมอง สมองของมนุษย์นั้นมีความพิเศษกว่าสัตว์ตรงที่ว่ามีความซับซ้อนและใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับขนาดตัวของมนุษย์
ส่วนประกอบ
สมองของมนุษย์ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ส่วนดังนี้
สมองส่วนหน้า (Forebrain) - มีขนาดใหญ่ที่สุด มีรอยหยักเป็นจำนวนมาก สามารถแบ่งออกได้อีกดังนี้
ออลเฟกทอรีบัลบ์ (olfactory bulb) อยู่ด้านหน้าสุด ทำหน้าที่ - ดมกลิ่น (ปลา,กบ และสัตว์เลื้อยคลานสมองส่วนนี้จะมี
ขนาดใหญ่) ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมออลแฟกทอรีบัลบ์จะไม่เจริญ แต่จะดมกลิ่นได้ดีโดยอาศัยเยื่อบุในโพรงจมูก
ซีรีบรัม (Cerebrum) - มีขนาดใหญ่สุด มีรอยหยักเป็นจำนวนมาก ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ ความสามารถต่างๆ เป็นศูนย์การทำงานของกล้ามเนื้อ การพูด การมองเห็น การดมกลิ่น การชิมรส แบ่งเป็นสองซีก แต่ละซีกเรียกว่า Cerebral
hemisphere และแต่ละซีกจะแบ่งได้เป็น 4 พูดังนี้
Frontal lobe ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว การออกเสียง ความคิด ความจำ สติปัญญา บุคลิก ความรู้สึก พื้นอารมณ์
Temporal lobe ทำหน้าที่ควบคุมการได้ยิน การดมกลิ่น
Occipital lobe ทำหน้าที่ควบคุมการมองเห็น
Parietal lobe ทำหน้าที่ควมคุมความรู้สึกด้านการสัมผัส การพูด การรับรส
ทาลามัส (Thalamus) - อยู่เหนือไฮโปทาลามัส ทำหน้าที่เป็นสถานีถ่ายทอดกระแสประสาทเพื่อส่งไปจุดต่างๆในสมอง รับรู้และตอบสนองความรู้สึกเจ็บปวด ทำให้มีการสั่งการแสดงออกพฤติกรรมด้านความเจ็บปวด
ไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) - ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของระบบประสาทอัตโนมัติ และสร้างฮอร์โมนเพื่อควบคุมการผลิตฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองซึ่งจะทำการควบคุมสมดุลของปริมาณน้ำและสารละลายในเลือด และยังเกี่ยวกับการควบคุมอุณหภูมิร่างกาย อารมณ์ความรู้สึก วงจรการตื่นและการหลับ การหิว การอิ่ม และความรู้สึกทางเพศ
สมองส่วนกลาง (Midbrain) - เป็นสมองที่ต่อจากสมองส่วนหน้า เป็นสถานีรับส่งประสาท ระหว่างสมองส่วนหน้ากับส่วนท้ายและส่วนหน้ากับนัยน์ตาทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของลูกตาและม่านตาจะเจริญดีในสัตว์พวกปลา กบ ฯลฯ ในมนุษย์
สมองส่วน obtic lobe นี้จะเจริญไปเป็น Corpora quadrigermia ทำหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยิน
สมองส่วนท้าย (Hindbrain) ประกอบด้วย
พอนส์ (Pons) - อยู่ด้านหน้าของซีรีเบลลัม ติดกับสมองส่วนกลาง ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานบางอย่างของร่างกาย เช่น การเคี้ยวอาหาร การหลั่งน้ำลาย การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า การหายใจ การฟัง
เมดัลลา (Medulla) - เป็นสมองส่วนท้ายสุด ต่อกับไขสันหลัง เป็นทางผ่านของกระแสประสาทระหว่างสมองกับไขสันหลัง เป็นศูนย์กลางการควบคุมการทำงานเหนืออำนาจจิตใจ เช่น ไอ จาม สะอึก หายใจ การเต้นของหัวใจ เป็นต้น
ซีรีเบลลัม (Cerebellum) - อยู่ใต้เซรีบรัม ควบคุมระบบกล้ามเนื้อให้สัมพันธ์กันและควบคุมการทรงตัวของร่างกาย
ขอขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ตทุกภาพ
นายนิคม พวงรัตน์