คุณครู.คอม
.









Online: 7 user(s)

ตั้งแต่ 3 กุมภาพันธ์ 2541





kunkroo radio

ตรวจสอบแทรคไปรษณีย์ไทย

domain register Admin Only

ทดสอบความเร็วอินเตอร์เน็ต

ตรวจสอบไอพี(IP check for locate)

..
     


    :  เกี่ยวกับเราคุณครู.คอม
หมวด: สาระจากพระพุทธศาสนา
เกิดใหม่กลัวบาป อุทาหรณ์ การทำบาป
04-01-2013 เข้าชมแล้ว: 5963

เกิดใหม่กลัวบาป

เด็กชายบุญอยู่ แซ่โง้ว  เกิดปีมะเส็ง  ปีพ.ศ.2460  เป็นลูกของนายคุนโหมว  แซ่โง้ว  กับนางอิน  มีพี่น้อง 3 คน  เป็นชายทั้งหมด  คือนายยุ้ยเป็นพี่ชายคนโต  เด็กชายบุญอยู่เป็นคนที่ 6  น้องชายอีกคนชื่อพัฒน์  ครอบครัวนี้มีอาชีพตีมีดและเคียวจำหน่ายอยู่ที่แยกตลาดบางแพ  จังหวัดราชบุรี

เด็กชายบุญอยู่  เกือบตายครั้งหนึ่งขณะนั่งเรือไปโรงเรียน  เรือเกิดล่ม  โชคดีที่มีคนช่วยเอาไว้ได้  จึงรอดชีวิตมาอย่างหวุดหวิด  เหตุการณ์นี้ทำให้เด็กชายบุญอยู่หวาดกลัวเรื่องการนั่งเรือมาก

เด็กชายบุญอยู่  มีอายุสั้นเหลือเกิน  พออายุได้ 14 ปี  ก็เกิดล้มป่วยมีอาการทรงกับทรุดตลอดเวลา  นอนป่วยอยู่ 15 วันก็ตายอย่างสงบ (พ.ศ.2474)  ศพของเด็กชายบุญอยู่  เผาที่วัดท่าราบ  ตำบลบางแพ  จังหวัดราชบุรีนั่นเอง

ในขณะเผาศพมีเรื่องประหลาดอย่างหนึ่ง  คือแผ่นเนื้อที่ต้นคอเด็กชายบุญอยู่ไม่ไหม้  พวกที่เชื่อถือเรื่องไสยศาสตร์  บอกว่าคนตายจะต้อง  “ถูกคุณไสย”  อย่างแน่นอน

หลังจากที่เด็กชายบุญอยู่ตายและเผาศพเรียบร้อยแล้วไม่นานนางอินผู้เป็นแม่ได้ฝันเห็นลูกชายคนนี้กำลังเดินอยู่ที่ตลาด  นางร้องเรียก  เขากลับทำเป็นเฉยเหมือนไม่ได้ยิน  ฝันเห็นลูกชายที่ตายครั้งนั้นครั้งเดียวก็ไม่ได้ฝันเห็นอีกเลย

นางแช่มเป็นแม่ม่ายสามีตาย  มีลูกติด 3 คน  เป็นชาย 1 คน  หญิง 2 คน  อยู่ที่บ้านดอนกระเบื้อง  อำเภอบ้านโป่ง  จังหวัดราชบุรี  ต่อมานางแช่มได้สามีใหม่เป็นคนจีนชื่อ นายเหลือง  แซ่อ๊วง  มีอาชีพค้าขายโดยการไป  “ตกข้าว”  ชาวนาเอาไว้ก่อน  เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็จะออกไปเอาข้าวเปลือกตามที่ตกลงกัน

นางแช่มได้ตั้งท้องลูกคนที่ 3 กับนายเหลือง  กระทั่งถึงกำหนดคลอดได้คลอดลูกเป็นชายในปีพ.ศ.2475  ตั้งชื่อลูกชายคนนี้ว่า ทองสุก  มีชื่อเรียกกันเล่นๆ  ว่า  “จุก”  เด็กชายจุกเลี้ยงง่ายไม่ป่วยไข้ให้พ่อแม่ทุกข์ยากลำบากใจ  และเจริญวัยขึ้นเรื่อยๆ  กระทั่งมีอายุได้ 3 ขวบ  พูดคล่องชัดถ้อยชัดคำตามสมควร  เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของทุกคนในบ้าน

ต่อมา  เด็กชายจุกเริ่มพูดแปลกๆ  ให้พ่อแม่งุนงงสงสัย  โดยเด็กบอกว่าจะไปบ้านอีกบ้าน  แล้วชี้ไปทางทิศใต้  (คือทิศที่ตั้งตำบลบางแพ)  นายเหลืองกับนางแช่มถามว่าเป็นบ้านใคร  เด็กชายจุกบอกว่าเป็นบ้านของเขาเอง  โป็นโรงตีเหล็กด้วย  แต่บอกไม่ถูกว่าเป็นตำบลอะไร

เด็กชายจุกพูดถึงบ้านเก่าของตัวเองเกือบทุกวัน  ทำให้นายเหลืองกับนางแช่มเริ่มแน่ใจว่าลูกชายคงไม่ได้พูดเล่นๆ  ไปตามประสาเด็กแน่  กระทั่งวันหนึ่งมีหลานสาวของนางสังข์  ซึ่งเป็นเพื่อนกับนางแช่มชื่อนางเบี้ยวมาเที่ยวที่บ้าน  นางแช่มจึงถามนางเบี้ยวว่าทางทิศใต้มีโรงตีเหล็กบ้างหรือไม่  เพราะได้ยินลูกชายตัวน้อยพูดถึงบ่อยเหลือเกิน  นางเบี้ยวตอบว่า  มีสิ  เป็นโรงตีเหล็กของเจ๊กโหมว  ภรรยาชื่ออิน

ขณะที่นางแช่มกับนางเบี้ยวสนทนากันอยู่นั้นเด็กชายจุกนั่งอยู่ด้วย  พอได้ยินนางเบี้ยวพูดถึงเจ๊กโหมวกับนางอิน  เด็กชายจุกรีบสอดคำพูดขึ้นมาว่า  “ใช่แล้วๆ  พ่อชื่อคุนโหมว  แม่ชื่ออิน ถูกแล้ว”  และก็รบเร้าอ้อนวอนให้แม่แช่มพาไปบ้านเจ๊กโหมว  นางแช่มผู้เป็นแม่บอกว่าถ้าจะไปก็ต้องไปเรือ  เพราะตอนนั้นเป็นฤดูน้ำหลาก  เด็กชายจุกไม่ยอมลงเรือกลัวเรือล่มจมน้ำ  (เนื่องจากเคยเรือล่ม  จมน้ำเกือบตายมาแล้วในชาติก่อน)

นายเหลืองกับนางแช่มตลอดจนทุกคนในครอบครัว  เชื่อว่าเด็กชายจุกจะต้องระลึกชาติได้แน่  และอยากรู้ว่าเป็นความจริงแค่ไหนเหมือนกัน  จึงรอคอยกระทั่งน้ำลด  เมื่อเข้าหน้าแล้งดินแห้งดีแล้ว  จึงเดินทางไปพิสูจน์ความจริง

นางแช่มได้พาเด็กชายจุกกับนางแอ๊วลูกสาวไปด้วยกัน  โดยใช้เกวียนเทียมวัวเป็นพาหนะ  เพราะนางแช่มจะไปเก็บข้าวเปลือกจากชาวนาโดยเอาอ้อยและยาสูบไปแลก  ระยะทางจากดอนกระเบื้อง  อำเภอบ้านโป่งถึงตลาดบางแพ  อำเภอโพธาราม  ห่างกันประมาณ 20 กิโลเมตร

เมื่อเดินทางทาถึงบริเวณใกล้โรงตีเหล็ก  หรือบ้านของนายคุนโหมวกับนางอิน  แซ่โง้ว  เด็กชายจุก  อายุ  3  ขวบกว่า  บอกกับนางแช่มผู้เป็นแม่ว่าถึงบ้านแล้ว  และเดินลากอ้อยลำเล็กๆ  ซึ่งจะเอามาฝากพ่อแม่ชาติก่อน  นำหน้าลิ่วเข้าไปในบ้านทันที  โดยมีนางแอ๊วพี่สาวตามไปติดๆ

เมื่อเข้าไปในบ้านแล้ว  นางแอ๊วถามน้องชายตัวน้อยว่าเตี่ยคือคนไหนล่ะ  เข้าไปไหว้เสียสิ  เด็กชายจุกเดินเข้าไปหานายคุนโหมวอย่างไม่มีกิริยาอาการลังเลแม้แต่น้อย  ยกมือไหว้นายคุนโหมวแล้วก็เดินไปไหว้นางอิน  คราวนี้เด็กร้องไห้สะอึกระหว่างลูกกับแม่ในอดีต

เด็กชายจุกจำนายยุ้ยพี่ชายคนโตและนายพัฒน์ซึ่งเป็นน้องชายในชาติก่อนได้โดยไม่มีใครแนะนำ  เขาเรียกนายยุ้ยว่าพี่  แต่ไม่ยอมเรียกนายพัฒน์ว่าพี่  ทั้งที่ขณะนั้นนายพัฒน์มีอายุมากกว่าเกือบ 10 ปี  เด็กชายจุกจดจำสิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้านได้หมด  และเมื่อเห็นเรือของนางอินผูกอยู่ข้างบ้าน  เด็กถามว่าเรือของเขาไปอยู่ที่ไหน  นางอินบอกว่า  “เรือเราก็ลำนี้ล่ะ”  แต่เด็กชายจุกแย้งว่าไม่ใช่ลำนี้  ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะเรือลำเก่าผุพังใช้ไม่ได้แล้ว  นางอินจึงซื้อเรือลำใหม่มาแทน  หลังจากเด็กชายบุญอยู่ลูกชายตายไปนานพอสมควร

การพิสูจน์ว่า  เด็กชายจุกคือเด็กชายบุญอยู่กลับชาติมาเกิดใหม่  ทั้งสองครอบครัวไม่มีความสงสัยอีกต่อไปแล้ว  นายคุนโหมวและนางอิน  เชื่ออย่างสนิทใจว่าลูกชายของตนที่ตายไปแล้วมาเกิดเป็นเด็กชายจุกจริงๆ

คืนนั้นเด็กชายจุกขอนางแช่มผู้เป็นแม่นอนค้างที่บ้านพ่อแม่ในชาติก่อน  นางแช่มก็อนุญาตและให้พี่สาวคือนางแอ๊วอยู่เป็นเพื่อนค้างคืนด้วย

นางอินและนายคุนโหมวมีความสุขใจเป็นพิเศษที่มีโอกาสได้พบกับลูกชายของตนที่มาเกิดใหม่  คืนนั้นขณะที่นางอินนอนพูดคุยเล่นกับลูกชาย 2 คนและมีเด็กชายจุกรวมอยู่ด้วย ตอนหนึ่งนางอินพูดขึ้นว่าถ้าลูกชายอยู่กันพร้อมหน้า 3 คนก็จะดีหรอกนะ  เด็กชายจุกกอดนางอินเอาไว้แล้วพูดว่า  “ก็เขาเป็นลูกอยู่แล้วนี่  ทำไมไม่ว่าเป็นลูกอีกเล่า”

นางอินถามว่าทำไมไม่มาเข้าท้องแม่อีก  เด็กชายจุกตอบว่า เขาเข้าบ้านไม่ได้เพราะมีสายสิญจน์ล้อมอยู่รอบบ้าน  ต้องรออยู่ข้างนอก  รอแล้วรออีกแม่ก็ไม่ออกมา  จึงต้องไปที่อื่น  กระทั่งพบกับแม่ใหม่เลยเกาะเขาไปเกิด

นับตั้งแต่นั้น  เด็กชายจุกจะมาค้างที่บ้านของพ่อแม่ในชาติก่อนบ่อยๆ  โดยมีพี่สาวคือนางแอ๊วเป็นคนมาส่ง  มาคราวหนึ่งก็จะอยู่หลายคืนและทำตัวเหมือนเป็นบ้านของตัวเอง  จึงเท่ากับว่าเขามีพ่อแม่ทั้งชาติก่อนและชาติใหม่พร้อมๆ  กัน

ตอนที่เด็กชายจุกเป็นเด็กๆ  มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นอยู่ 2 เรื่องที่น่าสนใจเป็นพิเศษ

เรื่องแรก  ตอนอายุ 3 – 4 ขวบ  เด็กชายจุกไปค้างอยู่กับนายคุนโหมวและนางอินที่บ้าน  ตั้งใจว่าจะค้างหลายวัน  แต่ในตอนกลางวัน  เด็กชายจุกบอกกับนางอินว่าเห็นไฟไหม้ที่ยอดไผ่ตรงกอไผ่หน้าบ้าน  นางอินและคนอื่นๆ  มองไม่เห็น  เด็กชายจุกรบเร้าจะกลับบ้านที่ดอนกระเบื้องให้ได้  นางอินก็ตามใจ  ให้คนไปส่งกลับบ้านดอนกระเบื้อง  อำเภอบ้านโป่ง

คืนวันนั้นก็เกิดไฟไหม้ที่บางแพ  ไฟลุกลามมาไหม้บ้านนางอินวอดวายไปอีกหลัง  ต่อมาจึงปลูกบ้านใหม่ห่างจากบ้านเดิมประมาณ 300 เมตร

เรื่องที่ 2 ตอนเด็กชายจุกเป็นเด็กๆ  เขามีความผูกพันกับกบอย่างประหลาด  เมื่อไรที่เด็กชายจุกไปที่ริมน้ำ  กบจะมาปรากฎตัวและว่ายมาหา  ยอมให้เด็กชายจุกจับตัวมาเล่นแต่โดยดี  จนมีคนพูดกันว่าถ้าใครอยากเห็นกบก็ให้เด็กชายจุกไปที่ริมน้ำ  จะได้เห็นกบทันที  และเด็กชายจุกจะไม่ยอมกินกบเด็ดขาด  หรือหากเห็นใครจับกบมาขังก็จะแอบเอากบไปปล่อยจนหมด

เด็กชายจุกหรือนายทองสุก  ใช้นามสกุลว่า  “เชาวน์ฉลาด”  ตามนามสกุลพี่ชายที่เกิดกับพ่อซึ่งเป็นสามีเก่าของนางอิน  เหตุที่ไม่ใช้นามสกุลของนายเหลือง  แซ่อ๊วง  ก็เนื่องจากไม่อยากใช้แซ่  ซึ่งพ่อกับแม่ก็ยินยอมให้ใช้นามสกุล  “เชาวน์ฉลาด”  ดังกล่าว

เด็กชายจุกหรือนายทองสุกเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตามความทรงจำในการระลึกชาติไม่ลบเลือนสูญหายแต่อย่างใด  เขายังจำได้แม่นยำทุกอย่างตั้งแต่ตอนยังมีชีวิตและหลังจากที่สิ้นใจตายไปแล้ว

นายจุกหรือนายทองสุกเล่าว่า  ตอนที่เขาเป็นเด็กชายบุญอยู่และตายเหมือนกับนอนหลับไป  มารู้สึกตัวอีกครั้งปรากฎว่า  ตัวเองมาอยู่นอกบ้าน  มองเห็นภายในบ้านชุลมุนวุ่นวาย  มีคนเศร้าโศกเสียใจร้องไห้หลายคน  เวลาที่นำศพเด็กชายบุญอยู่ ไปวัดท่าราบ  ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านคุนโหมวและนางอินประมาณ 2 กิโลเมตร  เขายังเดินนำหน้าศพไปด้วย

นายทองสุกหรือนายจุกเล่าต่อไปว่า  ตอนที่เดินไปนั้นไม่ได้เดินเหมือนมนุษย์ธรรมดา  ตัวมันลอยไปเองโดยลอยเรื่อยๆ  กับยอดหญ้าเวลานึกจะไปไหนตัวก็ลอยวูบๆ  ไปตามที่นึกทันที  และเวลาเผาศพนั้นตนเองก็เห็นเหตุการณ์โดยตลอด  แต่ไม่กล้าเข้าไปดูใกล้ๆ  นึกกลัวผู้ใหญ่จะตีเอาว่าเข้าไปวุ่นวาย  จึงได้ลอยขึ้นไปอยู่บนต้นสะแกเพราะเห็นว่าสูงดี

ตัวของนายจุกหรือจิตวิญญาณของนายจุกเพิ่งรู้ว่าตัวเองตายแล้วเมื่อเห็นศพของตนถูกเผา  จึงเกิดความเสียใจอย่างมาก  คิดจะกลับบ้านตัวเอง  ก็ลอยกลับถึงบ้านแต่เข้าบ้านไม่ได้  เพราะกลัวสายสิญจน์ที่ล้อมรอบบ้านเอาไว้  จึงร้องเรียกแม่อินที่หลังบ้านเพื่อจะกลับเข้าครรภ์แม่มาเกิดใหม่อีก  แต่แม่ก็ไม่ได้ยิน  ไม่สนใจ  จะเข้าบ้านก็เข้าไม่ได้  มีความเสียใจนักเลยผละออกมาจากเขตบ้านเที่ยวไปเรื่อยๆ

ลอยมาถึงทางแพร่งเป็นสามแยก  มีคนยื่นผลไม้ให้กิน  ผลไม้นั้นมีลักษณะเหมือนลูกมะปราง  แต่นายจุกไม่ยอมรับ  นึกรู้ว่าต้องเป็น  “ลูกลืม”  อย่างแน่นอน  หากรับมากินคงลืมทุกสิ่งทุกอย่างหมด  คนที่ให้ผลไม้รูปร่างหน้าตาเหมือนครธรรมดาๆ  ไม่ได้ใส่อาภรณ์ผิดปกติหรือผิดแปลกแต่อย่างไร

นายจุกพาตัวลอยเรื่อยมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง  มีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง  แผ่กิ่งก้านสาขาร่มรื่น  และบริเวณใต้ต้นโพธิ์มีมหรสพคือละคร  ลิเก  งิ้ว  กำลังเล่นอย่างสนุกสนาน  มีผู้คนมุงดูกลุ่มใหญ่เหมือนเมืองมนุษย์  ในบริเวณนั้นมีแท่นอยู่แท่นหนึ่งลักษณะคล้ายโต๊ะยาวหรือแท่นที่ตักบาตรกลางแจ้งตามวัดชนบท  บนแท่นนั้นมีหมอนขวาน  มีแสงแววส่งประกายออกมา  นายจุกจึงขึ้นไปนอนเล่นบนแท่นนั้นและผลอยหลับไป

นายจุกนอนหลับเพลินไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้  ตื่นขึ้นมาก็ไปเที่ยวต่ออีกอย่างไร้จุดหมาย  คราวนี้ได้พบกับที่ลงโทษทัณฑ์ทรมานผู้ทำบาปด้วย  สิ่งนั้นเป็นแค่รยาวขนาดคนนอนเหยียดยาวได้เต็มตัวมีไฟสุมอยู่เป็นเปลวลุกโพลงร้อนแรงน่ากลัว  บนแคร่นั้นมีคนถูกย่างไฟ  กำลังบิดตัววไปมาด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสน่าสยดสยองยิ่งนัก  ทำให้นายจุกหวาดกลัวอย่างยิ่ง

เมื่อออกจากที่ทรมานคนบาปมาไกลพอสมควร  ก็พบกับชีปะขาวผู้หนึ่งยืนอยู่  ชีปะขาวผู้นี้มีผู้นี้มีวัยชราแล้ว  มีหนวดเครายาวมากนุ่งขาวห่มขาวทั้งชุด  ชีปะขาวถามนายจุกว่าไปไหนมา  นายจุกตอบว่าไปเที่ยวมา  ชีปะขาวก็ชวนให้มาอยู่ด้วยกัน

นายจุกยังคิดถึงแม่อยู่  จึงบอกกับชีปะขาวว่าขอกลับไปอยู่กับแม่ก่อน  จะอยู่กับแม่สัก 2 เดือนแล้วจะกลับมาอยู่กับชีปะขาวแน่ๆ     ชีปะขาวแสดงความยินดีปรีดาที่นายจุกจะมาอยู่กับแก  แกบอกว่าถ้ามาอยู่ด้วยเมื่อไรจะรับเอาไว้เป็นลูกบุญธรรมเลย

นายจุกบอกว่า  วันหนึ่งในภพภูมิที่เขาไปอยู่นั้นเท่ากับ 1  ปีในโลกมนุษย์  ดังนั้นเวลา 2 เดือน คือ 60 วัน  จึงเท่ากับเวลาในโลกมนุษย์ 60 ปี

ดังนั้นนายจุกจะมีชีวิตหรือมีเวลาอยู่ในโลกมนุษย์แค่ 60  ปีก็จะกลับไปอยู่กับชีปะขาวตามที่เอ่ยปากตกลงสัญญากันไว้

นอกจากนี้ชีปะขาวยังสั่งให้นายจุกปฏิบัติตามที่แกสั่งอีกหลายข้อ  เช่น  ห้ามฆ่าคน  ไม่ให้ฆ่าสัตว์ใหญ่  ไม่ให้กินของวัด

เมื่อนายจุกลาจากชีปะขาวแล้ว  ก็รีบกลับไปบ้านพ่อแม่  คือนายคุนโหมวและนางอิน  แต่ก็เข้าบ้านไม่ได้อีกเพราะกลัวสายสิญจน์จึงออกมาวนเวียนอยู่ที่บ่อน้ำ  (บ่อน้ำนี้เดิมเป็นบ่อปูนข้างคลอง  เจาะลึกลงไปเพื่อให้ชาวบ้านได้ตักน้ำใช้ในฤดูน้ำน้อย)  รอคอยให้แม่อินผ่านมาจะได้กลับไปเกิดใหม่อีก)

นายจุกรอคอยแม่คือนางอินอยู่นานเท่าไรไม่สามารถบอกได้  แต่นางอินก็ไม่ผ่านมาเสียที  พอดีกับนางแช่มหาบกระบุงกลับจากไปแลกข้าวผ่านมา  นายจุกรู้สึกถูกใจชอบนางแช่ม  จึงโดดเกาะกระบุงตามไปด้วย

นางแช่มเดินมาถึงวัดเตาอิฐซึ่งอยู่ห่างจากบางแพประมาณ 3 กิโลเมตร  เกิดหิวน้ำเป็นกำลัง  จึงวางหาบลงแล้วไปวักน้ำใส่ในคูวัดดื่มกิน  นายจุกก็เข้าไปในน้ำที่นางแช่มวักกรอกปาก  ไหลลงไปในห้องแม่คนใหม่แล้วหมดความรู้สึกไป

ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองตาย  และออกท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ  ตราบกระทั่งมาเข้าท้องแม่คนใหม่  นายจุกบอกว่าเป็นเวลาแค่วันเดียวเท่านั้นในความรู้สึกของตน

ข้อมูลที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือ  เด็กชายบุญอยู่  ตายในปีพ.ศ.2474  และมาเกิดใหม่ในปี 2475  เป็นเวลาห่างกัน 1 ปีคงจะเท่ากับ 1 วันในภพชาติที่จิตวิญญาณนายจุกได้อยู่อาศัยจริงๆ

สำหรับเรื่องที่นางแช่มไปแลกข้าว  แล้วเดินผ่านบ่อน้ำ  กระทั่งไปแวะกินน้ำในคูหน้าวัดเตาอิฐ  นางแช่มยอมรับว่าเป็นความจริงเช่นนั้น  ต่อจากนั้นตนเองก็ตั้งครรภ์

นายจุกหรือนายทองสุก  เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่  มีนิสัยเรียบร้อยอ่อนโยน  เวลาพูดก็พูดช้าๆ  มีสาระเป็นหลักฐานน่าเชื่อถือ  เป็นคนใจเย็น  ไม่เคยโกรธหรือขุ่นเคืองใครเลย  พ่อแม่พี่น้องถึงกับบอกว่าถ้านายจุกถูกใครด่าว่า  เขาก็คงจะยิ้มเหมือนเดิม

ต่อมานายจุกได้แต่งงานมีภรรยาและมีลูกด้วยกัน 4 คน  นายจุกเป็นคนรักลูกและภรรยามาก  ไม่เคยเจ้าชู้สร้างปัญหาให้แก่ครอบครัวเป็นผู้มีจิตใจฝักใฝ่ในการบุญการกุศลมาโดยตลอด

สำหรับชีปะขาวที่นายจุกเคยพบในภพชาติหลังจากตายไปแล้วยังมาปรากฎในฝันหลายครั้ง  การฝันถึงชีปะขาวทุกครั้งหมายถึงว่าจะต้องมีเหตุการณ์ไม่สู้ดีเกิดขึ้น  และท่านจะเตือนให้ระมัดระวังตัวไว้ เช่น  คราวหนึ่งนายจุกเตรียมตัวจะไปเที่ยวที่จังหวัดชุมพร  แต่ชีปะขาวได้มาฝันก่อน  บอกว่าอย่าไปจะเกิดอันตราย  นายจุกก็ไม่ไปตามคำห้ามปรามนั้น

อีกครั้งหนึ่ง  ชีปะขาวเข้าฝันบอกนายจุกว่าเขากำลังจะมีเคราะห์หนักให้บวชต่ออายุเสีย  อีกอย่างหนึ่งจะได้เป็นกุศลแก่พ่อเก่าคือนายคุนโหมวด้วย  เพราะพ่อเก่าใกล้จะถึงวาระหมดอายุขัยต้องตายแล้ว  การบวชจะได้แผ่บุญกุศลให้พ่อได้บ้าง  นายจุกจึงได้บวชเข้าพิธีอุปสมบทที่วัดหนองอ้อ  บ้านดอนกระเบื้อง  ซึ่งเป็นวัดใกล้ๆ  บ้าน

การบวชของนายจุกในปี พ.ศ.2498  เขาไม่ยอมบอกพ่อแม่ทั้ง 2 ครอบครัวให้รู้เรื่องก่อน  พอใกล้จะถึงวันบวชจึงได้บอกพ่อแม่ว่าจะบวช  ตนได้เตรียมเครื่องอัฐบริวารไว้พร้อมแล้ว  และขอสมทบบวชกับนาครายอื่นที่เขาจัดงานไว้เรียบร้อย

เหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะไม่อยากให้พ่อแม่ทั้ง 2 ฝ่ายน้อยใจกัน  เพราะตนเองก็รักเคารพทั้งพ่อแม่ในชาตินี้และชาติก่อนเท่าเทียมกัน  อีกประการหนึ่งก็คือ  ไม่อยากให้วุ่นวายจัดงานทำบุญเลี้ยงพระเป็นการใหญ่  เพราะการจัดงานเช่นนั้นต้องใช้เนื้อสัตว์จำนวนมากมาทำกับข้าวเลี้ยงแน  เป็นบาปกรรมเปล่าๆ

การระลึกชาติได้ของนายจุกหรือนายทองสุก  เชาวน์ฉลาด  ย่อมเป็นการยืนยันได้ว่า  ทุกคนตายแล้วต้องเกิดอีก  ต้องเวียนว่ายในสังสารวัฏอยู่เช่นนี้ไม่มีสิ้นสุดตามกรรมของแต่ละคน  เว้นแต่จะมุ่งหน้าพากเพียรบำเพ็ญธรรม  หวังพระนิพพานเท่านั้นเป็นที่สิ้นสุด  จึงจะหลุดพ้นไปจากวังวนแห่งอนิจจังนี้ไปได้…….

ปล. การที่ข้าพเจ้า นายนิคม พวงรัตน์ เจ้าของเว็บไซต์นี้ได้นำชีวประวัติของพวกท่านทั้งหลาย ที่มีรายชื่อตามเรื่องนี้ทั้งที่มีชีวิตอยู่ หรือลาลับโลกนี้ไปแล้ว มาเผยแพร่  ก็เพราะต้องการนำเรื่องราวของพวกท่านมาเป็นอุทาหรณ์ให้คนทำดี  ไม่กระทำกรรมชั่ว เป็นวิทยาทานต่อมวลมนุษย์ผู้มีศรัทธา  ขออย่าได้ถือโทษโกรธเคือง มิได้มีเจตนาจะลบหลู่ดูหมิ่นแต่ประการใด  ขอบุญอานิสงค์ของวิทยาทานนี้ี้ได้ดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายที่มีรายชื่อในเรื่องได้รับส่วนกุศลจากวิทยาทานนี้กันทั่วหน้าด้วยเทอญ สาธุ








หมวด: สาระจากพระพุทธศาสนา
»บุญข้าวประดับดิน เรียกอีกอย่างว่าเปรตพลี แปลว่าอุทิศให้เปรต วันแรม 14 ค่ำ เดือน 9
06-09-2021
»อำนาจบุญบวช สวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิ เดินจงกรม
14-02-2021
»ชาติหน้ามีจริงไหม
26-01-2021
»บัญชีบุญ-บัญชีบาป
24-01-2021
»ถ้าไม่ใช่กรรมที่เราทำมา เราก็จะไม่ได้รับกรรมนั้น
26-01-2021
»คำยืนยันจากหลวงปู่มั่นว่า "พระแก้วมรกต เลือกประเทศไทย" ด้วยเหตุผล 3 ข้อ
24-01-2021
»มนุษย์อยากเป็นเทวดา แต่ เทวดากลับอยากเป็นมนุษย์
11-03-2018
»ทุกข์ทรมารมากกว่าจะได้เกิดเป็นคน
10-03-2018
»อันตรธาน 5
28-02-2018
»มาฆบูชา
28-02-2018
»การไปแสวงบุญที่พุทธสังเวชนียสถาน 4 แห่ง ได้ไปสวรรค์
10-02-2018
»กรรม 12 ประเภท
10-02-2018
»นาค พญานาค เป็นสัตว์เดรัจฉาน
10-02-2018
»นักแสดง ตายแล้วไปเกิดในนรก หรือกำเนิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน
10-02-2018
»คำว่า อนุโมทนา กับ โมทนา ต่างกันอย่างไร
20-12-2017
»เหตุใดวัดพระแก้วจึงไม่มีพระสงฆ์อยู่
26-10-2017
»ทำไมต้องทำบุญ
05-07-2017
»เจ้าชายสิทธัตถะประสูติแล้ว ดำเนินได้ ๗ ก้าวจริงหรือ
31-05-2017
»เรื่องพระสารีบุตรตอนจะเข้าสู่พระนิพพาน
23-02-2016
»แผนที่ธรรม แสดง 31 ภพ
23-02-2016
»สี่คนหาม สามคนแห่ หนึ่งคนนั่งแคร่ สองคนพาไป คืออะไร
07-12-2015
»"วันนี้วันพระ" วันพระมีความเป็นมาและสำคัญอย่างไร
18-11-2015
»ติรัจฉานวิชา (ว่าด้วยสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่กระทำ)
07-08-2014
»มหาสุทัสสนสูตร : ข้อเตือนใจคนโลภ
29-07-2014
»อานาปานสติ
09-04-2014
»บัว 4 เหล่า
16-01-2018
»คติ และคติภพ คืออะไรและต่างกันอย่างไร
13-12-2014
»พระเกศา_พระโลหิต'_พระสังฆราชกลายเป็นพระธาตุ
13-12-2014
»สวรรค์ 6 ชั้น
19-01-2021
»พระคาถาธารณปริตร
02-10-2013
»หลวงพ่อชาตอบปัญหาธรรม
17-07-2013
»วันมาฆบูชา
11-02-2014
»พุทธชยันตี
10-01-2013
»พระธรรมเทศนาจากหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
05-01-2013
»ช้างปาเลไลยก์
17-01-2013
»พระกุมารกัสสปะ
05-01-2013
»นางจิญจมาณวิกา นางอมิตตา กลับชาติมาเกิด
05-01-2013
»นางวิสาขา มหาอุบาสิกา
03-04-2016
»นางสิริมา หญิงโสเภณีผู้บรรลุโสดาบัน
05-01-2013
»เอาเงินใส่บาตรพระบาปไหม ที่นี่มีคำตอบ
03-04-2016
»โครงการภาพยนตร์ พุทธศาสดา ชาวพุทธควรชมอย่างยิ่ง
05-01-2013
»ไฟล์เสียงวิธีนั่งสมาธิตอนที่1-5 โดยหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
05-01-2013
»พระสุปฏิปฏิปัณโณ หรือพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
04-01-2013
»พระไตรปิฏก ตอนที่ 1(เข้าใจง่าย)
04-01-2013
»พระบรมครู คู่มือครู
16-01-2018
»อนุบุพพิกถา
04-01-2013
»ตักบาตรเทโวโรหนะ
04-01-2013
»คุณหมอผู้สนใจธรรมะ "ธรรมะคือลมหายใจ"
04-01-2013
»พระเจ้าพิมพิสาร
04-01-2013
»พระอานนท์
04-01-2013
»พระมหาโมคคัลลานะ
04-01-2013
»เรื่องเทวดา
04-01-2013
»ถือศีล ห้า ได้กุศลมากกว่าสร้างวิหารทาน จริงหรือ
04-01-2013
»เงื่อนไขการทำบุญให้ทาน
04-01-2013
»การทำบุญด้วยศรัทธา
04-01-2013
»บุญจากการอนุโมทนา
04-01-2013
»พระฉันนนะผู้ว่ายากสอนยาก
04-01-2013
»นางมาคันทิยาผูกอาฆาตพระพุทธเจ้า
04-01-2013
»เกิดใหม่กลัวบาป อุทาหรณ์ การทำบาป
04-01-2013
»พระภัททากัจจานาเถรี
04-01-2013
»นิทานธรรมบท เรื่องพราหมณ์ชื่อจูเฬกสาฎก
04-01-2013
»เมื่อใด บาปให้ผล เมื่อนั้น คนพาล ย่อมประสบทุกข์
04-01-2013
»เมื่อพญานาคอยากเป็นมนุษย์
04-01-2013
»เหตุใดเทวดาจุติ(ตาย)แล้วจึงอยากเกิดเป็นมนุษย์
04-01-2013
»ผลของกรรม
04-01-2013
 
หน้าแรก  เกี่ยวกับเราคุณครู.คอม


คุณครู.คอม ขอแสดงเจตนาว่าทุกข้อความใน เว็บไซต์นี้ให้คัดลอกได้
ไม่จำกัด เพื่อเป็นวิทยาทาน เพื่อการศึกษาเท่านั้น . .

email  [email protected]


kkwebv56   Copyright©2023 kunkroo.com
Development from SMEweb 1.5f By คุณครู.คอม