ขอเสนอเรื่องการทำบุญที่น่านำมาวิเคราะห์อีกเรื่อง ในประเด็นต่อไปนี้
1.การทำบุญ(ทาน)ด้วยศรัทธา
2.การทำบุญ(ทาน)ด้วยความลุ่มหลง
3.การทำบุญ(ทาน)ด้วยจำใจ หรือเอาหน้า
มีเรื่องอยู่ว่า
สามีภรรยาคู่หนึ่ง เป็นคนยากจนมากหาเลี้ยงชีพด้วยการขอทาน เดินทางมาอาศัยอยู่ที่ศาลาแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่นอกกำแพงเมือง
ในขณะที่พักอยู่นั้น ภรรยาซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ เกิดอาการแพ้ท้องอยากจะบริโภคอาหารที่พระราชาเสวย จึงอ้อนวอนสามีให้ไปหามาให้
บอกว่าหากมิได้บริโภคอาหารที่ต้องการนี้จะต้องตายเป็นแน่แท้ฝ่ายสามีผู้มีกรรมทนคำอ้อนวอนต่อไปไม่ไหว
และเกรงว่านางจักตาย จึงคิดอุบายปลอมตัวเป็นพระภิกษุและด้วยความที่ปลอมตัวมาใหม่ๆ จึงระมัดระวังตัวมากดูเหมือนเป็นผู้สำรวม เดินอุ้มบาตรไปในพระราชวัง เพื่อรับบิณฑบาต” ภิกษุนี้มีกิริยาอาการสำรวมน่าเลื่อมใสเป็นหนักหนา คงเป็นพระที่ทรงคุณวิเศษสักอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแม่นมั่น “จึงเกิดพระราชศรัทธา ทรงนำพระกระยาหารอันเลิศรสที่จะเสวย

ใส่ลงในบาตรจนหมด ด้วยจิตที่เลื่อมใสยิ่ง ”พร้อมกับบอกอำมาตย์คนสนิทให้ติดตามไป "ได้ความว่าอย่างไร บอกมาเร็วๆ พระนั้นอยู่วัดไหน ” อำมาตย์กลับมากราบทูลว่า ” ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ข้าพระพุทธเจ้าได้สะกดรอย ตามพระรูปนั้นไป จนออกนอกกำแพงพระราชวัง
พอตามไปสุดพระราชวังโน้น ท่านก็หายวับไปทันที ”
พระราชาได้ฟังดังนั้นทรงโสมนัสมาก มิได้ซักความเพิ่มเติมอีก ทรงคิดเอาเองว่า” บุญของเราแท้ๆ ที่ได้ ถวายทานแด่พระอรหันต์ทรงคุณวิเศษ ท่านเป็นพระอรหันต์จริงๆ ปาฎิหาริย์หายตัวได้ ทานที่ได้ถวายท่านในวันนี้มีอานิสงส์มากเป็นทานที่ประเสริฐอย่างแน่ๆ “ไม่นานหลังจากนั้นพระราชาก็เสด็จสวรรคต ไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
และก่อนที่จะสวรรคต พระองค์ได้ทรงกำชับเหล่าอำมาตย์คนสนิทไว้เสมอว่า เมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว ให้ทำบุญอุทิศกุศลเพื่อเจาะจงพระองค์ด้วย วันหนึ่งมีพระปัจเจกพุทธเจ้าเข้ามาบิณฑบาตรในวัง อำมาตย์คนเดิมได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปนั้น ก็ได้นิมนต์ท่านเข้าไปรับภัตตาหารในพระราชวัง แต่ในใจก็รู้สึกคลางแคลงสงสัยในพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปนั้นตลอดเวลา
เนื่องจากอำมาตย์คนนี้ ครั้งก่อนเจอพระปลอมเข้ามา และได้สะกดรอยตามไปตามรับสั่งพระราชาเพื่อให้รู้ว่าพระท่านมาจากไหน จะไปพักที่ไหน
เพื่อว่าวันต่อไปจะนิมนต์มารับบาตรในพระราชวังอีก
ฝ่ายพระภิกษุปลอมนั้น เมื่อได้อาหารเต็มบาตรสมความปรารถนาแล้วก็ดีใจ รีบเดินไปจนสุดกำแพงพระราชวัง
เมื่อเห็นว่าปลอดผู้คนแล้ว จึงเปลื้องจีวรและสบงออกเป็นเพศคฤหัสถ์ตามเดิมแล้วนำเอาพระกระยาหารนั้น ไปให้ภรรยาแพ้ท้องบริโภคตามความประสงค์
อำมาตย์ซึ่งสะกดรอยติดตามมาได้เห็นพฤติการณ์นั้นโดยตลอด ก็บังเกิดความตกใจและสังเวชใจคิดว่ามาเจอคนที่ปลอมตัวเป็นพระเสียแล้ว
จึงเข้าไปหวังจะจับไปรับโทษ แต่ด้วยความสงสาร จึงทำได้เพียงขับไล่สามีภรรยานั้นไป และห้ามกลับมาที่เมืองนี้อีกเป็นเด็ดขาด
แล้วกลับมาเพ็ดทูลพระราชาเพื่อรักษาศรัทธาของพระองค์
จึงเกรงว่าในครั้งนี้ก็จะเป็นพระปลอมบวชเช่นกัน โดยหารู้ไม่ว่า ภิกษุที่ตนได้ถวายภัตตาหารอยู่นั้นคือ
พระปัจเจกพุทธเจ้าที่เพิ่งออกจากสมาบัติใหม่ เป็นผู้สิ้นกิเลสอาสวะแล้วสิ้นเชิงฉะนั้นการถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าในครั้งนี้นอกจากจะไม่เกิดกุศลแล้ว ยังทำให้อำมาตย์นั้นได้หนทางไปสู่อบายในโลกหน้าโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย
ขอสาธุชน ผู้อ่านให้พิจารณาประเด็นที่ตั้งไว้ สามประการด้วยว่าควรแก่ประการใด
--------------------------------------------------------------------------------------
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ใน ฉฬังคทานสูตร จตุตถวรรคแห่งปฐมปัณณาสก์ อังคุตตรนิกาย ว่า
องค์ของผู้ให้ ๓ อย่าง ( เจตนา ๓ ) คือ
๑. ก่อนให้ก็ดีใจ
๒. กำลังให้ก็มีใจผ่องใส
๓. ครั้งให้เสร็จแล้วมีความเบิกบานใจ
องค์ของผู้รับ(ปฎิคาหก) ๓ อย่าง คือ
๑. เป็นผู้ปราศจากราคะ หรือปฎิบัติเพื่อความไม่มีราคะ
๒. เป็นผู้ปราศจากโทสะ หรือปฎิบัติเพื่อความไม่มีโทสะ
๓. เป็นผู้ปราศจากโมหะ หรือปฎิบัติเพื่อความไม่มีโมหะ